Digital 4.0 เป็นเทรนด์ที่มาแน่นอนและในต่างประเทศได้เกิดขึ้นแล้วและเป็นเทรนด์ที่ทุกแบรนด์ต้องตื่นขึ้นมาและปรับตัวสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าจากคู่แข่งที่ปรับตัวสู่ Digital 4.0 ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าการมาของ Digital 4.0 จะเกิดจากดีไวซ์ที่สามารถเชื่อมต่อและสั่งงานระหว่างดีไวซ์เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แต่มองลึกๆ ลงไปนั้น Digital 4.0 เป็นเทรนด์ที่มากกว่าดีไวซ์ ยังรวมไปถึงการปรับตัวสู่ Digital Transformation ของแบรนด์ต่างๆ เพื่อความอยู่รอดในยุคที่ดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้บริโภค
และไม่ใช่เพียงการคิดค้นนวัตกรรมขึ้นมาใหม่ แต่รวมถึงการหยิบสิ่งต่างๆ ที่มาอยู่มาปรับใช้ให้เหมาะสมบนพื้นฐาน Consumer Centric และต่อยอดธุรกิจเดิมได้ และเกิด New Business ใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ หรือองค์กร
เพราะในวันนี้แบรนด์ทุกแบรนด์กำลังมองหานวัตกรรมที่เปลี่ยนตลาด สร้างแนวทาง Talk of the Town ให้ผู้บริโภครู้สึกว๊าวและพูดถึงในวงกว้าง
Digital Transformation ได้กลายเป็นแม่มดที่ร่ายเวทมนตร์ให้องค์กรบางองค์กร หรือแบรนด์บางแบรนด์หายไปจากตลาดได้ในพริบตาถ้าองค์กรยังคงยึดติดกับความสำเร็จและเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในอดีตและปัจจุบัน โดยไม่มองไปข้างหน้าว่า Digital สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคโลกไปในทิศทางใด สินค้าหรือบริการที่ผลิตออกมาก็จะ Out Date ในทันที เช่นกรณีโกดัก แบรนด์ที่เกือบหายไปจากตลาดจากการยึดติดกับความสำเร็จและยอดจำหน่ายฟิล์มและกระดาษอัดภาพในอดีต จนลืมมองไปว่ากล้องดิจิทัลจะเข้ามาเปลี่ยนโลกการถ่ายภาพในอนาคต รวมถึงอินเทล ผู้ผลิตชิพพีซีอันดับหนึ่งของโลก ประสบปัญหาธุรกิจตกขบวนเพราะลืมคิดถึงอนาคตในวันที่สมาร์ทโฟนครองเมือง
และอะไรคือแนวทางในการเข้าสู่ Digital Transformation ของแบรนด์
1.มองหานวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้กับสินค้าและบริการ บน Consumer Centric หลายแบรนด์ร่วมมือกับไลน์พัฒนาบริการ/ช่องทางการตลาดใหม่ๆ หรือแม้แต่การร่วมมือกับเฟซบุ๊กในการพัฒนาช่องทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆ
ปรับจากหน้าบ้าน เพราะ Digital Transformation คือการ Transform จากผู้บริโภค ที่ใช้บริการอยู่หน้าบ้าน การออกแบบ Digital Transformation ต้องดูว่าผู้บริโภคต้องการอะไร เพื่อปรับสินค้าและบริการสอดรับความต้องการ หรือสร้างความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภคผ่าน Consumer Insight บน User Center Design เส้นทางการเข้าใช้บริการ หรือซื้อสินค้าจากแบรนด์ พร้อมศึกษาเส้นทางที่ผู้บริโภคมาใช้บริการประสบกับปัญหาหลงทางระหว่างการตัดสินใจซื้อหรือไม่ และสังเกตความต้องการระหว่างทางของผู้บริโภคถึงสินค้าและบริการใหม่ๆ พร้อมพัฒนาออกมาต่อยอดธุรกิจเดิม
- วิสัยทัศน์ CEO และการเทรนด์พนักงานให้เข้าใจถึงนวัตกรรมสินค้า/บริการอย่างลึกซึ้งไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ใช้ แต่เป็นถึงผู้ที่สามารถนำ ไปต่อยอดเป็นสินค้าและบริการใหม่
เพราะปัญหาไม่ได้แค่เพียงนวัตกรรม แต่การที่แบรนด์อยู่รอดในยุค Digital Transformation นั้นต้องมาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารในการมองเห็นเทรนด์ที่เปลี่ยนไปของอนาคต เช่นการมองของ Fin Tech หรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ Payment ที่วันนี้มีช่องทางชำระเงินใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากธนาคารมากขึ้น
นอกจากนี้การปรับตัวต้องมาจากองค์กรทั้งหมด พนักงานในองค์กรที่ต้องปรับตัวตามเทคโนโลยี และนวัตกรรม ถึงแม้ว่าจะนำนวัตกรรมสุดยอดเข้ามาสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันแต่พนักงานในองค์กรไม่สามารถนำนวัตกรรมไปต่อยอดไปสินค้าและบริการใหม่ๆ ได้เท่ากับว่านวัตกรรมนั้นเสียเปล่า และในต่างประเทศอย่างอเมริกา ยุโรปให้ความสำคัญกับการ Digital Transformation นำนวัตกรรมมาช่วยให้กระบวนการทำงานในองค์กรมีประสิทธิภาพสูงขึ้นซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ปีในการ Transform ให้เกิดขึ้นซึ่งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรวดเดียวทั้งองค์กร แต่อาจเริ่มจากหน่วยงานที่มีความจำเป็นก่อน
แต่การลงทุนในด้านของ Infrastructure ทั้ง Hardware Software สู่ Digital Transformation ซึ่งการลงทุนในแต่ละครั้งจะจะสามารถใช้งานได้ประมาณ 3-5 ปี และเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลที่นักธุรกิจชาวไทยอาจมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปสำหรับธุรกิจ ซึ่งกว่าจะเห็นภาพ Digital Transformation ในประเทศไทยอย่างชัดเจนอาจต้องรอเวลาให้เทคโนโลยีมีราคาต่ำลง
ทั้งนี้การปรับแบรนด์สู่ Digital Transformation สิ่งที่สำคัญที่สุดประเด็นหนึ่งคือการ ศึกษาตลาดโลก เพื่อไม่ตกเทรนด์ อย่างเทรนด์โลกในวันนี้ IoT มีบทบาทสำคัญ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ พัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่รองรับ IoT ทยอยออกมาสู่ตลาดโลก และในฐานะผู้ผลิตแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าผลิตสินค้าที่ไม่รองรับ IoT ก็จะจำหน่ายในตลาดโลกไม่ได้ในที่สุด
ที่มา : มายรัม, กรกฎาคม 2559
