ผู้ผลิตบะหมี่ซอง 5 บริษัท แถลงข่าวร่วมกันขอขึ้นราคาสินค้าเป็น 8 บาท ต่อซอง หากไม่สามารถปรับราคาได้ อาจต้องลดการขายภายในประเทศ เน้นส่งออกตลาดต่างประเทศแทน
ในวันที่ 15 ส.ค. 65 ณ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารจาก 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท โชคชัยพิบูล จำกัด, บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด, บริษัท วันไทย อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด และบริษัท นิชชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้จัดแถลงข่าวร่วมกัน ขอขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ขายในราคา 6 บาทต่อซอง เป็น 8 บาทต่อซอง


บะหมี่กึ่งฯ จัดเป็นสินค้าควบคุมที่เมื่อจะขึ้นราคาต้องแจ้งขออนุญาตปรับขึ้นกับทางกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งที่ผ่านมาบะหมี่กึ่งฯยืนราคาขายที่ 6 บาท/ซอง มาร่วม 13 ปี แต่ด้วยภาวะสงครามในปัจจุบันที่ส่งผลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้น ทั้งแป้งสาลีและน้ำมันปาล์ม จนผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลายเจ้าประสบภาวะขาดทุน
ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในชื่อแบรนด์ มาม่า ยำยำ ไวไว นิชชิน และซื่อสัตย์ จึงร่วมกันขอขึ้นราคาเป็น 8 บาทต่อซอง หลังจากที่ผ่านมาพยายามขอปรับราคาตามที่คำนวณตามต้นทุนจริงหลายครั้ง แต่กรมการค้าภายในขอความร่วมมือยืนราคาไว้ที่ 6 บาทในช่วงสถานการณ์โควิด19 แต่ปัจจุบันราคาวัตถุดิบยังคงไม่มีวี่แววดีขึ้น ทำให้ผู้ผลิตขาดทุน และไม่สามารถขายราคา 6 บาทต่อซองต่อไปได้
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นเป็นหลายเท่าตัว แป้งสาลีจากเดิมเคยซื้อที่200บาท ปรับขึ้นมาถึง 500 บาท ยังไม่รวมต้นทุนวัตถุดิบอื่นๆที่พุ่งขึ้น 8-35% โดยเฉลี่ยต้นทุนเพิ่มขึ้นมาประมาณ 1บาทกว่าต่อซอง ยังไม่รวมค่าแรงที่มีกระแสข่าวจะปรับขึ้นอีก หากไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ อาจต้องแก้ด้วยการบาลานซ์ต้นทุนกับราคาขาย ส่งออกขายขยายพอร์ตต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมสัดส่วนส่งออกขายในต่างประเทศอยู่ที่ 30% พยายามปรับเพิ่มเป็น 40-50%
ด้านของแบรนด์ไวไว นายวีระ นภาพฤกษ์ชาติ กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด กล่าวว่า จากการปรับราคาของวัตถุดิบ โดยเฉพาะแป้งสาลีและน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตบะหมี่กึ่งฯ แม้บริษัทจะปรับลดในส่วนของโปรโมชั่นแล้ว แต่ยังไม่สามารถทดแทนรายได้ที่หายไปได้ ทำให้สินค้าบางรายการประสบภาวะขาดทุน เช่นเดียวกับนายปริญญา สิทธิดำรง กรรมการบริษัท โชคชัยพิบูล จำกัด กล่าวเสริมว่า บะหมี่กึ่งฯซื่อสัตย์ก็ขาดทุนแบบติดตัวแดงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในการขอขึ้นราคาครั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ว่าจะอนุญาตหรือไม่ เพราะบะหมี่กึ่งฯคือสินค้าที่ควบคุมราคาโดยรัฐ ต่างจากต่างประเทศที่สามารถแข่งขันได้เสรี
โดยทางมาม่าเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสินค้าในต่างประเทศของมาม่าขอปรับราคาไปแล้ว 2-3 ครั้ง เช่นเดียวกับยำยำที่ได้ปรับราคาสินค้าในต่างประเทศไปแล้ว 2 ครั้ง และปรับเพิ่มด้วยสัดส่วนร้อยละสองหลัก ด้านนิชชินเสริมว่า โดยเฉพาะในตลาดญี่ปุ่น นิชชินได้แจ้งขอปรับราคาจากเดิมที่ปรับเป็น 5% เพิ่มเป็นอีก 12% เช่นกัน เนื่องจากตลาดต่างประเทศนั้นสามารถปรับราคาตามต้นทุนจริงได้
ก่อนหน้านี้แบรนด์ต่างๆจะมีสัดส่วนการขายในประเทศมากกว่า เพราะจำกัดไว้ให้ตลาดในประเทศก่อน โดยมาม่าและไวไวมีสัดส่วนขายในประเทศ 70% ต่างประเทศ 30% ส่วนยำยำขายในประเทศที่ 75%ต่างประเทศ 25% ซื่อสัตย์ในประเทศและต่างประเทศครึ่งต่อครึ่ง 25%
ส่วนสินค้าที่มีราคาขาย 6 บาท คิดเป็นสินค้าสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของทุกแบรนด์ มาม่ามีสัดส่วนบะหมี่กึ่งฯราคา 6 บาท อยู่ที่ 70-80% ไวไว ยำยำ และซื่อสัตย์70% ส่วนนิชชิน 30%
หากกรมการค้าภายในไม่อนุญาตให้ขึ้นราคา แบรนด์ที่กล่าวมาข้างต้นเห็นตรงกันว่า อาจต้องลดการปริมาณการขายในประเทศลง โดยลดการขายแบบเอาสินค้าบางรายการออกไปจากเชลฟ์แทนการลดแบบTotal แล้วส่งออกขายในตลาดต่างประเทศในปริมาณที่มากขึ้นแทน เนื่องจากสามารถขายได้ในราคาที่คำนวณตามต้นทุนจริงได้
สำหรับการขอขึ้นราคา ทางบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) จะเป็นตัวแทนยื่นหนังสือเร่งรัดขอขึ้นราคากับทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในเช้าวันที่ 16 ส.ค. (พรุ่งนี้)
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ