เนสท์เล่ ประเทศไทย ครบรอบ 130 ปี โตสุดในอินโดไชน่า ทุ่มเงิน 10,000 ล้านมากสุดในรอบห้าปี เพิ่มกำลังการผลิต พร้อมตรึงราคาสินค้าให้ถึงที่สุด

เนสท์เล่ บริษัทอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก สัญชาติสวิตเซอร์เเลนด์ ผู้อยู่เบื้องหลังเเบรนด์อาหารเเละเครื่องดื่มมากกว่า 2,000 แบรนด์ทั่วโลก

เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 บุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์นมข้นหวาน ‘แหม่มทูนหัว’ หรือมิลค์เมด จนเมื่อการตอบรับดีเกินคาด เป็นที่มาให้ตั้งโรงงานแห่งแรกขึ้น โดยร่วมทุนกับบริษัท ยูไนเต็ด มิลค์ จำกัด เริ่มดำเนินการในปี 1967 ทำให้ตอนนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 130 เป็นที่เรียบร้อย

คุณวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า ยุคหลังเทรนด์โควิด-19 คนกินดื่มนอกบ้าน ซื้อของแบบไม่คิดไว้ก่อน บริษัทพยายามปรับพอร์ตตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้เนสท์เล่ยังคงเติบโตได้เล็กน้อยที่ประมาณ 3.5-4 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูงสุดในอินโดไชน่า

สินค้าเนสท์เล่ในไทยประมาณ 400 SKU ประกอบด้วย 25-30 แบรนด์ เเละ 15 business Unit โดยมีธุรกิจกาเเฟปรุงสำเร็จเป็นพระเอกขับเคลื่อนรายได้หลักให้กับเนสท์เล่ไทย

เเต่สำหรับปี 2023 นี้ เนสท์เล่จะลงทุนโดยรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในโรงงาน จำนวนประมาณ 6,500 ล้านบาท และลงทุนในด้านธุรกิจและการตลาด จำนวนประมาณ 3,500 ล้านบาท

เพื่อลงทุนในสายการผลิตของหน่วยธุรกิจเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ (Purina Pet Care) ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี และเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นถึง 50%

ซึ่งเทียบเท่ายอดลงทุนต่อเนื่องในไทยจากทั้งห้าปีก่อน ตั้งเเต่ปี 2018-2022 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 13,600 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงงานใหม่ เเละเพิ่มกำลังการผลิต รองรับความต้องการทั้งในเเละต่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น

จากผลการสำรวจเนสท์เล่ พบว่า ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะโลกหลังโควิด-19 ผู้บริโภคออกมาใช้ชีวิตข้างนอก เเละเกิดพฤติกรรม การบริโภคจากความอยากซื้อทันทีโดยไม่วางแผนล่วงหน้า

นอกจากนั้น ผู้บริโภคยังตระหนักเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น  มองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เเต่ยังคงรับประทานของหวานหรือขนมที่สร้างความสุขสุนทรีย์ให้กับจิตใจเป็นรางวัลตัวเอง  เพื่อเติมความสุขระหว่างวัน มากไปกว่านั้น คือให้ความสำคัญกับรสชาติมาเป็นอันดับหนึ่ง ต้องอร่อยเท่านั้น

ขณะที่ผู้บริโภควัย 45 ปี เริ่มตระหนักถึงความยั่งยืนมากขึ้น ส่วนคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่า 35 ปี มองหาเเบรนด์ที่มีเเนวทางความยั่งยืน เเละคาดหวังให้เเบรนด์มีความโปร่งใส โดยเริ่มตั้งคำถามกับที่มาของผลิตภัณฑ์ กว่า 62% ระบุว่า ใช้เเนวการบริโภคอย่างยั่งยืนในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์

ผ่านกลยุทธ์ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) เเละขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา (Good for Planet) นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าเเละรักษ์โลกไปพร้อมกัน

เนสท์เล่จึงเดินหน้าสู่ Net Zero ภายในปี 2050 วางเเผนปรับบรรจุภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลได้ ใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต ใช้เมล็ดกาแฟที่มีการจัดหาอย่างยั่งยืน โดยคืบหน้าไปแล้วกว่า 95%

นอกจากนี้ ยังร่วมกับ PUR Project ปลูกต้นไม้ 800,000 ต้นในไร่กาแฟจังหวัดระนองเเละชุมพร เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก 200,000 ตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

เเต่นอกจากอาหารคนเเล้ว เนสท์เล่ยังลงเล่นในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง โดยมีไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกจำหน่ายทั่วโลก จากการเล็งเห็นโอกาสของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพอร์ตการลงทุนนี้มีข้อดีตรงที่อาหารสัตว์เลี้ยง บริโภคเหมือนกันทั่วโลก เเต่อาหารคนมีรายละเอียดไม่เหมือนกันในเเต่ละประเทศ

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต้นทุนยังคงไม่สู้ดีนัก จะเห็นได้ว่าสินค้ากลุ่มนม เป็นไลน์ที่ขึ้นราคาบ่อยที่สุด เพียงเเค่ปีที่เเล้วบางเเบรนด์ก็ปรับขึ้น 2-3 รอบเกือบหมด

เเต่สำหรับเนสท์เล่ เเม้สถานการณ์ต้นทุนเพิ่มขึ้น 8% ในสินค้าทุกกลุ่ม เเละบางสินค้ามีต้นทุนขึ้นสูงมากกว่านั้น บริษัทยังคงตรึงราคาอย่างเต็มที่ด้วยการประหยัดต้นทุนในส่วนที่เป็นไปได้ก่อน อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องคอยติดตามการพิจารณาเรื่องปรับขึ้นราคากันต่อไป



อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline

ติดตาม Marketeer Online ทาง LINE Official


เพิ่มเพื่อน