ยุคนี้หันไปทางไหนก็เจอแต่ AI AI และ AI  Artificial Intelligent หรือปัญญาประดิษฐ์ เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญและเริ่มถูกพูดถึงมาก ๆ ในช่วงปลายปี 2022 ตั้งแต่การมาถึงของ ChatGPT จากบริษัท OpenAI ที่อดีตเคยมี Elon Musk เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น

Generative AI ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างข้อความหรือเนื้อหาอื่น ๆ เพื่อตอบสนองต่อการแจ้งเตือนของผู้ใช้ และเริ่มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดตัว ChatGPT ของ OpenAI สู่สาธารณะ นับตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวผู้คนต่างพากันใช้ AI Chatbot ตั้งแต่การเขียนเรียงความไปจนถึงการสร้างโค้ด​​สำหรับนักพัฒนาหรือโปรแกรมเมอร์

การแข่งขันในแวดวง AI ก็เริ่มทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ Google ได้เปิดตัว Google Bard ซึ่งเป็น Generative AI เหมือนกับ ChatGPT และเป็นคู่แข่งสำคัญของ ChatGPT โดย Google นั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากจนถึงขั้นตั้งหน่วยงานแยกจากหน่วยงานพัฒนาเครื่องมือค้นหาของ Google เลยทีเดียว

รายงานล่าสุดจาก Goldman Sachs ระบุว่าตำแหน่งงานกว่า 300 ล้านตำแหน่งอาจได้รับผลกระทบจากการมาของ AI นั่นหมายความว่า 18% ของงานทั่วโลกสามารถใช้ระบบอัตโนมัติทำงานแทนมนุษย์ได้ โดยที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้รับผลกระทบหนักกว่าตลาดเกิดใหม่

ในรายงานฉบับเดียวกัน Goldman Sachs ยังคาดการณ์อีกว่า 2 ใน 3 ของงานในสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้เริ่มนำระบบ AI มาใช้แทนที่มนุษย์แล้ว และอีกประมาณ 1 ใน 4 ของงานทั้งหมดในสหรัฐฯ และยุโรปก็ใช้ AI ทำได้ นั่นแปลว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราอาจได้เห็น The Great Lay Off ก็เป็นไปได้

 

ทำไมคนถึงกลัว AI

เหตุผลประการที่ 1 ไม่ใช่ทุกคนที่กลัว AI แต่เป็นคนที่ไม่เอาไหนต่างหาก

หลายคนคงเคยเห็นประกาศรับสมัครงานตำแหน่ง Prompt Engineer กันมาบ้าง ตำแหน่งนี้ทำอะไร โดยปกติแล้วคนจบวิศวกรต้องเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปีด้านวิศวกรรม แต่กับตำแหน่งนี้เหมือนคนขี่เสือ แน่นอนว่า เสือดุร้าย แต่คนที่ควบคุมเสือได้ก็มี จริงไหม ดังนั้น ตำแหน่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้อนคำถามเชิงสร้างสรรค์และเชิงลึก รวมถึงสอน AI ให้รู้จักคิดวิเคราะห์ และแตกแขนงความเชี่ยวชาญออกไป

แน่นอนว่าตอนแรกที่ ChatGPT มาก็มีแต่คนกลัวตกงานเพราะ ChatGPT สามารถเขียนบทความได้ แต่งเพลงได้ คิดสูตรอาหารได้ และที่สำคัญเขียน Code ได้ แต่คนอีกพวกหนึ่งไม่ได้มองว่ามันน่ากลัว แต่พวกเขามองหาช่องทางในการใช้งานเจ้าเสือร้ายตัวนี้ให้เกิดประโยชน์ ดังนั้น มีแต่คนที่ทักษะไม่ถึงเท่านั้นที่จะกลัวการถูกแทนที่ด้วยปัญญาประดิษฐ์

 

เหตุผลประการที่ 2 มนุษย์กลัวสิ่งที่ไม่รู้

การไม่เข้าใจบางสิ่งนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ สัญชาตญาณในการป้องกันตนเองของมนุษย์ทำให้เรามองสิ่งใหม่ ๆ ในมุมที่เลวร้ายที่สุดก่อน มุมมองของเราจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ภัยคุกคาม ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้เป็นสิ่งที่มีพลังทำลายล้างสูง และเมื่อขอบเขตของปัญญามนุษย์และปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ปัญญาประดิษฐ์นั้นเป็นแนวคิดที่ซับซ้อนซึ่งหลายคนพยายามทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ แต่ข้อมูลและการวิจัยที่มีอยู่จำนวนมากนั้นไม่มีประโยชน์หากคุณไม่ทราบวิธีตีความหรือปรับให้เข้ากับบริบทของสังคมหรือการทำงาน

 

เหตุผลประการที่ 3  AI ฉลาดมากกว่ามนุษย์มาก

นี่อาจเป็นความกลัวแบบคลาสสิกที่สุดของมนุษย์ที่มีต่อ AI นั่นคือวันหนึ่งคอมพิวเตอร์และหุ่นยนต์ของโลกจะลุกขึ้นสู้และแซงหน้ามนุษย์

Andy Hobsbawm ประธานของ Loops กล่าวว่า “เมื่อ 30 ปีก่อน Peter Cochrane นักอนาคตศาสตร์ กล่าวว่า ไม่เป็นไรถ้าคอมพิวเตอร์ทำให้การลงจอดของเครื่องบินปลอดภัย แต่เรากลับรู้สึกสะเทือนใจเมื่อพวกมันเอาชนะเราในการแข่งขันหมากรุก ความกลัวแบบเดียวกันนี้กำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างมาก โดยมี AI ในเวอร์ชันปัจจุบันเป็นตัวขับเคลื่อน เนื่องจากเครื่องจักรมีความฉลาดมากขึ้นแบบทวีคูณ และเริ่มใช้ความฉลาดเหมือนมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ”

 

เหตุผลประการที่ 4 มนุษย์ไม่ว่าชาติใดก็ไม่อยากถูกแทนที่งานที่ตนเองทำด้วยคอมพิวเตอร์

ภัยคุกคามจากการถูกบอกว่า AI สามารถทำงานได้ดีกว่าเรา ทำให้คนเราเริ่มกลัวการตกงานแบบถาวร ก่อนหน้านี้ในแวดวงอุตสาหกรรมมีการนำแขนกลมาช่วยในการประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ หรือแม้แต่การนำเครื่องตรวจจับสิ่งแปลกปลอมมาใช้คัดแยกผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ แทนคน

การมาของ AI ในระลอกนี้ไม่เพียงแต่สร้างความกลัวให้คนในสายโรงงานแต่กับสายงานที่ใช้ความคิดหรือทักษะพิเศษอย่างวิศวกร การตลาด ไปจนถึงงานวิชาชีพอย่างหมอหรือทนาย ก็ทำให้ผู้คนเริ่มตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของ AI แล้วว่า แล้วพวกเขาต้องทำอย่างไรให้ไม่ถูก Disruption นี้

จริง ๆ แล้วตลาดงานสามารถแข่งขัน และมนุษย์ทุกคนรู้ดีเมื่อคุณต้องแข่งขันกับคนด้วยกันเอง แต่คงไม่มีใครจะอยากแข่งขันกับ AI ที่ฉลาดกว่ามนุษย์ตั้งกี่เท่าเป็นแน่

 

เหตุผลประการที่ 5 สื่อก็มีส่วน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอุตสาหกรรมบันเทิงมีส่วนอย่างมากในการมีอิทธิพลต่อทัศนคติของผู้คนที่มีต่อ AI โดยบรรดาสื่อมักจะทำให้ AI ดูเป็นตัวร้ายในสายตาของมนุษย์ หรือแม้แต่การใส่ความเชื่อแบบนี้ลงไปในภาพยนตร์แนว Sci-Fi ว่าเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ อย่างเรื่อง Terminator, IRobot ก็ทำให้คนมีภาพจำว่าจักรกลจะลุกขึ้นมาจับปืนและล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์

แต่ในด้านของงานสื่อสายหลักมีส่วนอย่างมากที่ทำให้คนมีทัศนคติที่เป็นลบกับ AI เพราะในทุก ๆ  วันพวกเขานำเสนอแต่มุมมองที่ว่า AI กำลังจะเข้ามาทำให้คนตกงาน โดยไม่ได้นำเสนอว่าแล้วเราจะใช้ประโยชน์จากความฉลาดของ AI แต่อย่างใด

 

งานอะไรเสี่ยงโดน AI มาแทนที่

การเงินการธนาคาร

ในแวดวงธนาคารเริ่มมีการนำ AI มาใช้กันแล้ว จากสถิติพบว่าธนาคารกว่า 56% ได้นำ AI มาใช้ในเรื่องการจัดการ และ 52% บอกว่าใช้เพื่อการสร้างรายได้ ตามข้อมูลของ Cambridge Centre for Alternative Finance และ World Economic Forum ระบุว่าธนาคารนำ AI มาใช้เพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรม และเพื่อให้คำแนะนำทางการเงินโดยละเอียดเกี่ยวกับการออมและการใช้จ่าย

ธนาคาร Morgan Stanley เริ่มใช้แชตบอตจากค่าย OpenAI (เจ้าของ ChatGPT) เพื่อจัดระเบียบฐานข้อมูลการจัดการความมั่งคั่ง และช่วยให้ที่ปรึกษาทางการเงิน สามารถดึงข้อมูลและค้นคว้าข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ World Economic Forum ยังคาดการณ์ว่า AI จะนำการเปลี่ยนแปลง 3 ข้อใหญ่ ๆ มาสู่อุตสาหกรรมการเงิน ได้แก่ การลดงาน การสร้างงาน และเพิ่มประสิทธิภาพ​ นอกจากนี้ พวกเขายังคาดการณ์ว่าภายในปี 2027 ตัวเลขกว่า 23% ของงานในภาคการเงินในประเทศจีนจะถูกแทนที่ด้วย AI ทั้งหมด

 

สื่อสารมวลชนและการตลาด

Kristian Hammond หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Natural Sciences ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ในอนาคตอันใกล้ “90% ของข่าวจะถูกเขียนโดย AI” Natural Sciences มีซอฟต์แวร์ชื่อ Quill ซึ่งเป็นเครื่องมือถอดความด้วย AI ที่เขียนรายงานของบริษัทก่อนการประกาศรายได้

สื่อในเยอรมนีอย่าง Axel Springer ก็ออกมาประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาถึงแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การทำสื่อโดยใช้  “ดิจิทัล” เป็นหลัก ซึ่งรวมถึงการลดงานเพื่อรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่และระบบอัตโนมัติ นักข่าวจากสื่อต่าง ๆ อย่าง Business Insider, CNET และ CNBC ตอนนี้ก็ใช้ ChatGPT เพื่อเขียนข่าว

แม้ถูกวิจารณ์ว่ามีข้อมูลเท็จ

ในเดือนมกราคม Jonah Peretti ซีอีโอของ BuzzFeed ประกาศว่าบริษัทจะใช้ ChatGPT เพื่อปรับแต่งเนื้อหาและปรับปรุงแบบทดสอบ ซึ่งสร้างความกังวลต่อความมั่นคงในงานให้กับพนักงานเป็นอย่างมาก และตามรายงานของ Wall Street Journal ระบุว่า ในอุตสาหกรรมการตลาด 84% ของนักการตลาดบอกว่าใช้ AI ในการทำงานแล้ว โดยเฉพาะการค้นหาข้อมูลด้านการตลาด การทำวิจัยตลาด และการค้นหาความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นอกจากนี้ ในงานการตลาดยังมีเรื่อง SEO ซึ่งก่อนหน้านี้นักการตลาด SEO ต้องค้นหา Keyword ที่ลูกค้าน่าจะใช้ค้นหาด้วยตัวเอง (Manual) ทำให้เรื่องนี้ค่อนข้างใช้เวลาแต่ปัจจุบัน ChatGPT ได้เข้ามามีบทบาทในส่วนนี้เป็นอย่างมาก และสามารถร่นระยะเวลาการทำงานของนักการตลาดได้เกิน 50%

 

 บริการด้านกฎหมาย

มีข่าวว่าทนายความคนหนึ่งในสหรัฐฯ ใช้ ChatGPT เพื่อเผยแพร่บทความทางกฎหมายความยาว 14 หน้าที่เผยแพร่ใน Social Science Research Network พร้อมคำแนะนำมากมาย รวมถึงการสร้างสัญญา อธิบายว่าเหตุใดคำตัดสินของศาลฎีกาเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันจึงไม่ควรถูกอุทธรณ์ และการพัฒนาคำถามสะสม

AI มีศักยภาพในการ “ตอบคำถามเกี่ยวกับความยุติธรรม” และให้บริการด้านกฎหมายแก่ผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าทนายแพง ๆ ได้ โดยดึงข้อมูลคำวินิจฉัยและคำตัดสินของศาลมาแสดงเพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้ร้องทุกข์  Andrew Perlman ผู้เขียนบทความและคณบดีคณะนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Suffolk ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า ชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อยไม่ได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายที่เพียงพอ และ 92% ของปัญหากฎหมายแพ่ง ตามรายงานปี 2022 สำนักงานให้บริการด้านกฎหมายบางแห่งได้เริ่มรวม AI เข้ากับบริการทางกฎหมายแล้ว เช่น บริษัทสตาร์ตอัป Lawgeex ซึ่งมีบริการอ่านสัญญาได้อย่างรวดเร็ว และพวกเขายังบอกว่ามันแม่นยำกว่ามนุษย์เสียอีก

 

แล้วงานอะไรล่ะที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการมาของ AI น้อยที่สุด

โรงงานและการผลิต

ไม่ใช่ว่าอุตสาหกรรมการผลิตหรือสายการผลิตจะได้รับผลกระทบจากการมาของ AI น้อยที่สุด แต่เป็นเพราะพวกเขาโดนดิสรัปต์มาช้านานแล้ว ดังนั้น ถ้าโดนพายุ AI ลูกนี้ซัดเข้าไป เชื่อว่าพวกเขาคงปรับตัวและชินได้ในที่สุด อย่าง General Motors (GM) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายแรกที่ใช้วิทยาการหุ่นยนต์ในสายการผลิตหลังจากเปิดตัว UNIMATE ในปี 1961

อย่างไรก็ตาม AI เชิงกำเนิดอาจเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น Elon Musk เปิดตัว Tesla Bot หรือ Optimus หุ่นยนต์อัตโนมัติที่สร้างขึ้นเพื่อทดแทนมนุษย์ในการทำงานที่ซ้ำซากและอันตราย Musk วางแผนที่จะวางหุ่นยนต์เหล่านี้ในโรงงาน Tesla และมีความพยายามขยายไปทั่วโลก

จากรายงานของ MIT และมหาวิทยาลัยบอสตัน คาดว่า AI จะเข้ามาแทนที่พนักงานฝ่ายผลิตมากถึง 2 ล้านคนภายในปี 2025 “หลักฐานของเราแสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์ช่วยเพิ่มผลผลิต” นักวิจัยกล่าว โรงงานของจีนในเมืองตงกวนแทนที่พนักงาน 90% ด้วยเครื่องจักร ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 250% และข้อบกพร่องลดลง 80% โดยงานที่ใช้แรงงานมนุษย์ 650 คนทำงาน ตอนนี้ใช้หุ่นยนต์ประมาณ 60 ตัวและมนุษย์ 60 คน (ลดรายจ่ายไปได้เยอะ)

 

การเกษตร

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา ในปี 2021 มีจำนวนตำแหน่งงานกว่า 21.1 ล้านงานอยู่ในภาคอาหารและการเกษตร ซึ่งคิดเป็น 10.5% ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ เกษตรกรรมถือเป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดอาชีพหนึ่งของโลก และยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลามายาวนานตลอดการปฏิวัติอุตสาหกรรมถึง 4 ครั้ง

จากรายงานของ Washington Post ระบุว่าฟาร์มขนาดเล็กหลายแห่งไม่สามารถสร้างผลกำไรได้มากพอที่จะลงทุนในเครื่องจักร แม้ว่าฟาร์มขนาดใหญ่จะได้เริ่มกระบวนการที่นำเครื่องมืออัตโนมัติสำหรับงานที่ต้องใช้กำลังมาใช้แล้วก็ตาม

อย่างในสหรัฐอเมริกา ฟาร์มที่เป็นแบบครอบครัวคิดเป็น 98% ของฟาร์มทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นฟาร์มครอบครัวขนาดเล็กและรวมกันใช้พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศ ดังนั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ฟาร์มทั้งหมดในสหรัฐฯ จะสามารถใช้ AI หรือ Robot มาทำงานแทนมนุษย์ได้ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม สถาบันอาหารและการเกษตรแห่งชาติสหรัฐฯ ก็ได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัย AI เพื่อให้ประชาชนชาวเกษตรกรสหรัฐฯ สามารถนำ AI มาใช้ทุ่นแรงให้ได้ในอนาคต

 

สายสุขภาพ

จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Health Services พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว จิตแพทย์ใช้เวลา 20.3% ของวันไปกับงานเอกสาร รองลงมาคืออายุรแพทย์ และงานของอายุรแพทย์กว่า 17.3% เป็นงานด้านการดูแลระบบทั่วไป งานแบบนี้ผู้เชี่ยวชาญมองว่า AI สามารถเข้ามาทำแทนได้

แต่ในด้านอื่น ๆ อาจใช้ AI ไม่ได้  David Dranove ศาสตราจารย์แห่ง Kellogg School of Management แห่งมหาวิทยาลัย Northwestern บอกว่าคนส่วนใหญ่ที่เริ่มมีอายุต้องการทราบเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขาจากปากมนุษย์ (นั่นก็คือหมอตัวจริง ๆ) และมี “ความต้องการความเห็นอกเห็นใจที่ AI ไม่สามารถให้ได้”

รายงานของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดคาดการณ์ว่าตำแหน่งอย่างนักตีความคำวินิจฉัยแพทย์ เจ้าพนักงานเวชระเบียน เลขานุการทางการแพทย์ และช่างเทคนิคข้อมูลด้านสุขภาพ จะเป็นกลุ่มงานที่มีแนวโน้มสูงที่จะถูกแทนที่ด้วย AI ไม่ใช่ “หมอ”

 

แล้วเราต้องปรับตัวอย่างไร

การปรับตัวเป็นสิ่งที่อยู่คู่โลกมาอย่างช้านาน เผ่าพันธุ์ใดไม่ปรับตัวย่อมต้องสูญพันธุ์เป็นธรรมดา ดังนั้น หากเราพัฒนาทักษะการใช้งาน AI ให้ AI มาช่วยเหลืองานเรา ยิ่งจะทำให้เราสามารถประหยัดเวลาในการทำงานลงเป็นอย่างมาก ทั้งยังสามารถได้ประสิทธิผลจากการทำงานมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะเชื่อเถอะว่าเราไม่สามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้เท่าคอมพิวเตอร์ และไม่สามารถคิดได้ไวเท่า AI ดังนั้น อะไรที่เราเคยทำแล้วช้า อะไรที่ทำแล้วได้ผลลัพธ์ไม่ดีเชื่อว่า AI จะเข้ามาช่วยเรา

เพียงแต่เราจะต้องศึกษาคู่มือการใช้และขีดความสามารถของ AI ให้ถ่องแท้ว่า AI ในยุคปัจจุบันมีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับงานเราบ้าง หลังจากนี้เพียงคีย์คำสั่งกด Enter แล้วรอดูผลลัพธ์ที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงก็เป็นได้

 

 อ้างอิง

https://www.forbes.com/sites/ariannajohnson/2023/03/30/which-jobs-will-ai-replace-these-4-industries-will-be-heavily-impacted/?sh=3d2ad0f55957

 

https://medium.com/geekculture/why-are-people-scared-of-ai-75f9e527797


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer