เมื่อเจ็ดปีก่อน วินาทีที่เพลงฮิตทำนองติดหู ความยาวเพียง 2 นาที “Baby Shark” ถูกอัปโหลดลงบน Youtube Kids สำหรับกลุ่มผู้ฟังเด็กเล็ก เเต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน ผู้ปกครองของเด็ก กลับร้องเล่นเต้นตามได้ จนเกิดเป็นกระเเสไวรัลไปทั่วโลก
สร้างสถิติเป็นคลิปวิดีโอแรกของโลกที่มียอดรับชมมากกว่า 10,000 ล้านวิว เเละยังเป็นยอดรับชมสูงสุดตลอดกาลของโลก แซงหน้า “Despacito” ของ Luis Fonsi “Baby Shark” คือกระเเสเคป๊อปใหม่ที่มาทำลาย “Gangnam Style”
เพลง Baby Shark Dance โดย PINKFONG
ทำให้ชื่อของ Pinkfong บริษัท Start up จากเกาหลีใต้ ติดอยู่ใน TIME100 บริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดประจำปี 2022
The Pinkfong Company เป็นบริษัทสตาร์ทอัปขนาดเล็ก ก่อตั้งขึ้นตั้งเเต่ปี 2010 เดิมชื่อ Smart Study และ Smart Books Media โดยอดีตนักพัฒนาเกมสามคน ได้แก่ Kim Min-seok, Lee Ryan Seung-kyu และ Park Hyun-woo
ในปี 2010 พวกเขาสร้าง SmartStudy ขึ้นมา (เป็นบริษัทย่อยของ Samsung Publishing Co Ltd เเต่ไม่เกี่ยวข้องกับ Samsung Group) เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือสำหรับเด็ก ผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับเด็ก ทั้งบทเรียนเเละเพลงเสริมสร้างพัฒนาการ ซึ่งเริ่มต้นด้วยเพลงกล่อมเด็กที่สร้างสรรค์ไดนามิกเเตกต่างจากเพลงกล่อมเด็กรูปแบบเดิม
โดยที่บริษัทได้นำบทร้องมาจากสหรัฐฯ แล้วเสริมด้วยดนตรีเคป๊อป กับท่าเต้นระบำฉลามเข้าไป กลายเป็นบันไดก้าวเเรกที่เปิดทางให้กับบริษัทกระโดดเข้าสู่น่านน้ำใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากความสำเร็จอันรวดเร็วของ Baby Shark
เพลงเพียงเพลงเดียว ทำให้ Pinkfong ถูกประเมินมูลค่าบริษัทประมาณ 1 ล้านล้านวอน (1.1 พันล้านดอลลาร์) รายรับปี 2021 เพิ่มขึ้น 4.8% เป็น 5.1 หมื่นล้านวอนในช่วง 9 เดือนแรกของปี เเละเกินครึ่งของยอดขายมาจากนอกเกาหลีใต้
ในปี 2015 SmartStudy สร้างยอดขายอยู่ที่ 8.5 ล้านดอลลาร์ เเละปีต่อมาเพิ่มขึ้น 80% จากรายได้การขายบน YouTube และแอปพลิเคชันประมาณ 15.5 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ปี 2017 ยอดขายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 24 ล้านดอลลาร์ เเละเมื่อ “Baby Shark” ของ Pinkfong ติดชาร์ต 40 อันดับแรกของชาร์ต UK หุ้นของ Samsung Publishing ซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทเเม่ก็ทะยานขึ้นกว่า 76%
ความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Pinkfong ไม่มองเบบี้ชาร์คเป็นแค่เพลงหรือวิดีโออีกต่อไป บริษัทรีบพัฒนาให้กลายเป็นแบรนด์ ขยายขอบเขตนอกเหนือจากการเป็นเพลงฮิต เเต่ไปถึงคอนเทนต์ภาพยนตร์ เว็บตูน ซีรีส์แอนิเมชัน ทัวร์คอนเสิร์ต แอปพลิเคชันมือถือ และสินค้าลิขสิทธิ์คาเเรกเตอร์เบบี้ชาร์ค ซึ่งก็ช่วยให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ
หมวดธุรกิจของ Pinkfong ขยายวงครอบคลุมทุกหมวดเอนเตอร์เทนเมนต์
1. ภาพยนตร์ เเละซีรีส์:
-Baby Shark’s Big Show (ซีรีส์การ์ตูนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน) ผลงานที่ทำร่วมกับ Nickelodeon Animation เครือข่ายเคเบิลของสหรัฐฯ เป็นซีรีส์ยอดนิยม 3 อันดับแรกในบรรดาเนื้อหาเกี่ยวกับทีวีสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนในสหรัฐฯ
– Baby Shark Doo Doo Doo เรื่องราวการผจญภัยในอวกาศของ Pinkfong และ Baby Shark
– Pinkfong Wonderstar บน YouTube Originals เรื่องราวของ Pinkfong และผองเพื่อนวันเดอร์สตาร์ออกผจญภัยในหมู่บ้านมหัศจรรย์
– Bebefinn เปิดตัวปีที่เเล้ว ซีรีส์แอนิเมชัน เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพี่น้องสามคน อยู่ในอันดับ Top 10 Kids Netflix ใน 12 ประเทศ เป็นคอนเทนต์ล่าสุดต่อจาก Pinkfong และ Baby Shark
2. ดนตรี:
บริษัทกวาดชาร์ตเพลงทั่วโลก คว้าอันดับที่ 32 ใน Billboard Hot 100 เเละไต่ขึ้นสู่อันดับ 6 ใน UK Official Singles Chart รวมถึงอันดับชาร์ตเพลงสำหรับเด็กบน iTunes เเละได้รับรางวัล RIAA (Recording Industry Association of America) จำนวนเพลงเเละคอนเทนต์ภาพยนตร์ซีรีส์ของบริษัทรวมทั้งสิ้น 29,025 ผลงาน
3. การทัวร์คอนเสิร์ตหรือเเสดงสด:
“Baby Shark Live!” การแสดงสดของ Pinkfong ออกทัวร์หลายร้อยเมืองทั่วอเมริกาเหนือ และ 20 เมืองทั่วประเทศจีน เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยรักษาความจงรักภักดีของแฟนคลับให้เเน่นเเฟ้นมากขึ้น
4. แอปพลิเคชันมือถือเเละช่องยูทูบ:
แอปของบริษัทประกอบด้วยชื่อเดียวกันกับเพลงคือ Babyshark เเละ Pinkfong บนสโตร์มียอดดาวน์โหลด 423,763,390 ครั้ง ครองยอดขายอันดับหนึ่งใน 112 ประเทศทั่วโลก
ผู้ติดตามยูทูบ 119,091,476 บัญชี ยอดรับชมบนยูทูบสะสม 65,092,515,916 วิว
โดยเฉลี่ยแล้ว ช่อง YouTube ของ Pinkfong มีผู้เข้าชม 484 ล้านครั้งต่อเดือน หรือประมาณ 16 ล้านครั้งต่อวัน คาดการณ์ว่าสร้างรายได้ให้บริษัทจากโฆษณา 2 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน และ 29 ล้านดอลลาร์ต่อปี
5. สินค้าลิขสิทธิ์:
Baby Shark ถูกต่อยอดไปในกลุ่มสินค้าลิขสิทธิ์ ทั้งหนังสือเสียง ของเล่นเพื่อการเรียนรู้ รวมไปถึงเครื่องเเต่งกาย เครื่องเขียน อีกทั้งยังร่วมคอลเเล็บส์กับผลิตภัณฑ์มากมายในหมวดสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค
อาศัยพลัง “Baby Shark” ก้าวไปไกลขึ้น สร้างเเบรนด์ให้ยั่งยืน
จากฐานะขวัญใจวัยฟันน้ำนมยังไม่พอ บริษัท Pinkfong ประกาศลุยหากลุ่มลูกค้าที่โตขึ้น พาตัวเองไปอยู่ในกลุ่มคนหนุ่มสาว ปัจจัยหนึ่งมาจากอัตราการเกิดของเด็กที่ต่ำลงต่อเนื่อง โดยจะใช้เว็บตูนในการดึงลูกค้าวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ใช้บริการเว็บตูนมากที่สุด เเต่ยังไม่มีเนื้อหาเว็บตูนเปิดเผยออกมา
ทั้งนี้ เว็บตูนในเกาหลีใต้เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จากจุดเริ่มต้นในปี 2000 ไล่ระดับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มูลค่ายอดขายการ์ตูนดิจิทัลในปี 2017 อยู่ที่ 380,000 ล้านวอน เเละเพิ่มเป็น 1.1 ล้านล้านวอน ในปี 2020 เเละสูงถึง 1.6 ล้านล้านวอน หรือราว 1,400 ล้านดอลลาร์ ในปี 2021
การวางรากฐานด้วยการก้าวสู่สนามแข่งขันอื่นที่นอกเหนือจากคอนเทนต์เด็ก เพื่อสร้างบริษัทให้ขึ้นเป็นระดับโกลบอล ครอบคลุมทุกเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ ปัจจุบันบริษัทมีสำนักงานในกรุงโซล ลอสแองเจลิส เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง เเละล่าสุด สิงคโปร์ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งนอกจากที่กล่าวมาข้างต้น บริษัทยังก้าวขาไปในวงการทรัพย์สินดิจิทัล “โทเค็น Baby Shark คอลเลกชัน NFT” อีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่บริษัทอยากทำต่อไปคือ สวนสนุก ที่มีตัวละคร Pinkfong เพื่อมอบประสบการณ์ตรงต่อยอดจากคอนเทนตต์วิดีโอในออนไลน์ โดยมีโมเดลธุรกิจของดิสนีย์เป็นต้นเเบบ เป็นส่วนสำคัญในการสร้างฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่ง และสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน
โดยจะเปิดสวนสนุกในร่ม ‘Pinkfong World Adventure’ แบบป๊อปอัปขนาด 14,000 ตารางฟุต นำร่องในสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกงเป็นที่เเรก
การต่อยอดชื่อเสียงของเบเบี้ชาร์คดูจะไม่จบลงง่าย ๆ ใครจะคาดคิดว่า เพลงความยาวเพียงสองนาที จะต่อชีวิตบริษัทไปอีกหลายสิบปี จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัททรงอิทธิพลระดับโลก ด้วยการยกย่องจากนิตยสาร TIME
อ้างอิง: Pinkfong Official Website, thePinkfongcompany, forbes, The Sydney Morning Herald, BBC, yahoofinance, Medium, Kidsbeetv, businessinsider, VOAnews, likedin, koreajoongangdaily,
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ