การเเสดงสด (Live Performance) หมายถึงการแสดงดนตรีประกอบการร้องเพลง รวมถึงการเล่นเครื่องดนตรีที่นำเสนอในรูปแบบดนตรี เช่น คลาสสิก ร็อก ป๊อป และเมทัล เป็นงานเทศกาลดนตรี คอนเสิร์ต การแสดง และอื่น ๆ ผู้จัดงานจะสามารถสร้างรายได้จากสปอนเซอร์ และ Merchandise
ปี 2021 จำนวนการแสดงดนตรีสดเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากนักดนตรีชื่อดังจำนวนมากทยอยจัดคอนเสิร์ต ส่งผลให้มูลค่าตลาดการแสดงดนตรีทั่วโลกในปี 2021 มีมูลค่า 152,200 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ระหว่างปี 2022-2027 คาดการณ์ว่าขนาดตลาดจะเพิ่มขึ้นถึง 481,400 ล้านดอลลาร์ (เป็นตัวเลขที่ครอบคลุมการจัดงานเทศกาลดนตรี คอนเสิร์ต รายได้จากการจำหน่ายตั๋ว สปอนเซอร์ และการขายสินค้า)
ผู้ชมส่วนใหญ่อยู่ในวัย 21-40 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ใช้รายได้ส่วนใหญ่หมดไปกับการหาความบันเทิง เเฟนคลับพร้อมจ่ายเงินเพื่อซื้อบัตรคอนเสิร์ต สตรีมมิ่ง และสินค้าของศิลปินที่ตนเองชอบเสมอ
ในอุตสาหกรรมดนตรีมีกลุ่มเพลงป๊อปเป็นผู้ครองตลาด เพราะได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ทำให้ตลาดเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ตามรายงาน Music Consumer Insight ปี 2018 โดย International Federation of the Phonographic Industry (IFPI) ประมาณ 64% ของประชากรทั่วโลกมักฟังเพลงป๊อป
เเต่จากการระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการแสดงสด งานดนตรีทั้งหมดถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ส่งผลให้อุตสาหกรรมการเเสดงดนตรีสดทั่วโลกลดลงเกือบ 75% ท่ามกลางการแพร่ระบาดในปี 2020 ในปีนั้นรายได้อยู่ที่ 7,320 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในปี 2021
ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจการเเสดงสด เนื่องจากการทัวร์คอนเสิร์ตเป็นแหล่งรายได้สำคัญของศิลปิน
ในอดีตการจะออกตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตได้ครั้งหนึ่ง ผู้จัดงานต้องมั่นใจว่า ศิลปินต้องมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักมากพอ เพราะการจัดคอนเสิร์ตแห่งหนึ่งต้องใช้งบสูง หากไม่มั่นใจว่าจะได้การตอบรับที่ดี ยากที่นักลงทุนหรือค่ายจะทำ ในอดีตศิลปินที่ออกทัวร์คอนเสิร์ตได้ จึงนับได้ว่าประสบความสำเร็จในสายอาชีพของตนเเล้ว
ปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ ศิลปินที่ประสบความสำเร็จยังคงวัดได้จากรายได้ รอบการแสดง จำนวนประเทศในการจัดคอนเสิร์ต เพราะสะท้อนให้เห็นความนิยมที่เเพร่หลาย อย่างไรก็ดี ในยุคนี้มีการเข้ามาของ Data ค่ายสามารถใช้ข้อมูล เพื่อดูความนิยมของศิลปินในเเต่ละพื้นที่ ดูจำนวนฐานเเฟนคลับเพื่อวางเเผนในการจัดแสดงสดได้ อาจเป็นคอนเสิร์ตในสเกลที่เล็กลงมาก็ได้ เป็นผลดีต่อศิลปินที่มีความเฉพาะกลุ่มให้สามารถออกทัวร์แสดงคอนเสิร์ตได้เช่นเดียวกับศิลปินระดับ Worldwide
แต่สำหรับศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก การทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งหนึ่งมีรอบการจัดเเสดงไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป
ซึ่งศิลปินระดับแนวหน้าของวงการต่างก็ผลัดกันทุบสถิติรายได้จากการทัวร์คอนเสิร์ตกันไปมา
ล่าสุด ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Questionpro ระบุว่า การทัวร์ของเทย์เลอร์สามารถกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียวให้สูงถึง 4,600 ล้านดอลลาร์ สูบฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น จนเกิดเป็น “Taylor Swift Economy”
เรียกได้ว่าการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งหนึ่งของศิลปินดัง ส่งเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้มหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นการทัวร์ของศิลปินดังบางคน มูลค่ามากกว่า GDP ของประเทศเล็ก ๆ เช่น โดมินิกา ด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่าง
Coldplay
วงป๊อปร็อกที่กลายมาเป็นไททันแห่งการทัวร์ เจ้าของเพลงฮิตที่คนรู้จักทั่วโลกอย่าง “Fix You”, “Yellow”, “Hymn for the Weekend” เเม้ชื่อนี้จะอยู่มานานเเล้ว หลังการก่อตั้งวงในปี 1997 แต่กลับยังคงได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นมิลเลนเนียล และแม้แต่เจเนอเรชัน Z เนื่องจากเพลงหลายเพลงกลายเป็นไวรัลใน Tiktok ไปแล้ว
หลังการเเพร่ระบาด โคลด์เพลย์ขึ้นทัวร์คอนเสิร์ตครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทัวร์หลายรายการของวงมีมูลค่ามากกว่า 500 ล้านดอลลาร์
เมื่อมีการประกาศว่า โคลด์เพลย์จะจัดคอนเสิร์ตที่สิงคโปร์ ในทัวร์ “Music of the Spheres” แฟนเพลงกว่า 200,000 คนรีบซื้อบัตรในช่วงพรีเซลล์ จนทำลายสถิติการขายตั๋วมากที่สุดในสิงคโปร์
เเละกำลังออกทัวร์รอบโลก โดยที่บัตรส่วนใหญ่ถูกขายหมดเกลี้ยง ทั้งในอเมริกาเหนือและใต้ ยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย กำหนดจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2024
รายได้จากการทัวร์ของวงจากเกาะอังกฤษ ที่ออกทัวร์มาตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งมีทัวร์ไปทั้งหมด 8 รอบ ทั่วเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ และโอเชียเนีย สร้างรายได้รวมราว 1,500 ล้านดอลลาร์
โคลด์เพลย์ เป็นวงที่มีกลยุทธ์การโฆษณาที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ ขณะที่ศิลปินที่ออกทัวร์รอบโลกคนอื่น มองข้ามเอเชียและภูมิภาคตะวันออกกลาง โคลด์เพลย์กลับโปรโมตตนเองอย่างเเข็งขันในพื้นที่นี้ ส่งผลให้วงมีฐานเเฟนที่เหนียวเเน่นกว่า
ในทัวร์ “Music of the Spheres” ครั้งล่าสุด สร้างรายได้ 561 ล้านดอลลาร์ จำหน่ายบัตรในราคาเฉลี่ย 77.80 ดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่าศิลปินรายอื่นใน 10 อันดับแรกของ Boxscore เป็นราคาที่ถูกกว่าครึ่งหนึ่งของคอนเสิร์ต Bad Bunny
Ed sheeran
ศิลปินหนุ่มผมทอง ผู้ร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์ตั้งแต่สี่ขวบ จากเกาะอังกฤษ มีเพลงดังที่คนรู้จักทั่วโลก เช่น “Shape of you”, “Photographer”, “I don’t care”, “thinking out lound” เเละอีกมากมาย
เขาเดบิวต์กับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในปี 2011 และค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปสู่การเป็นศิลปินชื่อดังระดับโลก
เอ็ดสามารถขายอัลบัมได้มากกว่า 26 ล้านชิ้น เเละ 100 ล้านซิงเกิ้ลทั่วโลก ทำให้เขาเป็นหนึ่งในศิลปินเพลงที่มียอดขายดีที่สุดในโลก
หลังการเซ็นสัญญากับ Asylum Records อัลบัมเปิดตัวของเขา “พลัส” วางจำหน่ายในเดือนกันยายน 2011 ติดอันดับชาร์ตในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ขึ้นถึงอันดับ 5 ในสหรัฐอเมริกา และตั้งแต่นั้นมาก็ได้รับการรับรองระดับแพลทินัมใน UK ถึงเจ็ดครั้ง อีกทั้งอัลบัมนี้ยังทำให้เขาได้รางวัล Ivor Novello Award สาขาเพลงยอดเยี่ยมทางดนตรีและเนื้อเพลง
ทัวร์คอนเสิร์ตที่เสร็จสิ้นไปก่อนหน้านี้ในปี 2019 ชื่อว่า “Sheeran Divide” โกยรายได้ 1,100 ล้านดอลลาร์ จากการขายตั๋ว 8.9 ล้านใบ แสดงใน 6 ทวีป ซึ่งการทัวร์อยู่ในช่วงปล่อยเพลง “Shape of You” ที่ติดบนชาร์ต Billboard Hot 100 หลังจากทัวร์นี้จบลงเขาก็หยุดพักไปเกือบสามปี
ก่อนจะกลับมาประกาศทัวร์ยุโรปครั้งใหม่ “The +–=÷× Tour” (อ่านว่าเดอะ แมธมาติกส์ ทัวร์) คอนเสิร์ตครั้งที่สี่ ของนักร้องนักแต่งเพลงชาวอังกฤษเอ็ด ชีแรน ซึ่งเริ่มมาตั้งวันที่ 23 เมษายน 2022 ที่เมืองดับลินประเทศไอร์แลนด์ จนถึงวันที่ 23 กันยายน 2023
ทันทีที่จำหน่ายบัตร คอนเสิร์ตถูกเพิ่มเป็นหลายวัน เนื่องจากความต้องการที่ล้นหลาม ส่งผลให้จำนวนรอบเพิ่มเป็น 64 รอบ
Harry styles
Harry Styles เป็นนักร้องจากวงบอยแบนด์ดัง One Direction จาก UK แฮร์รี่มักจะออกทัวร์อย่างต่อเนื่องเพื่อโปรโมตเพลง และสร้างรายได้ไปพร้อมกัน
การทัวร์คอนเสิร์ต “Where We Are” ในปี 2014 ของเขาพร้อมกับวง มีรายได้ 290.2 ล้านดอลลาร์ จากนั้นทัวร์ของวง “On the Road Again” สร้างเม็ดเงินอีกครั้ง 208 ล้านดอลลาร์
สำหรับทัวร์เดี่ยวของเขาที่เริ่มขึ้นในปีก่อนลากยาวมาจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ จากข้อมูลของ Billboard ทัวร์ “Styles’ Love on Tour” มียอดขายตั๋วกว่า 400 ล้านดอลลาร์ (เป็นจำนวนที่ยังไม่สิ้นสุด) จากการตะลอนทัวร์อเมริกาเหนือ การแสดงในโอเชียเนีย เอเชีย และสนามกีฬาในยุโรป
Taylor Swift
เทย์เลอร์เป็นหนึ่งในศิลปินกลุ่มแรก ๆ ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อกับเเฟน ๆ ทำให้เธอได้รับความภักดีจากแฟนเพลงอย่างมหาศาล
เธอคือเจ้าของรางวัลแกรมมี่มากกว่า 10 รางวัล เพลงฮิตอันดับหนึ่ง 7 รางวัล และเป็นศิลปินที่คอนเสิร์ตขายบัตรหมดเกลี้ยงหลายร้อยครั้ง
อัลบัมเปิดตัวของเทย์เลอร์ ไต่อันดับสูงสุดที่อันดับ 5 ในชาร์ตบิลบอร์ด 100 ก่อนผงาดขึ้นเป็นนักร้องนักแต่งเพลงระดับเมกะสตาร์
Forbes เคยประมาณการมูลค่าสุทธิของ Taylor Swift ในปี 2023 ว่าสูงถึง 740 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากการประเมินก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 570 ล้านดอลลาร์ อิทธิพลจากยอดขายอัลบัม ค่าลิขสิทธิ์เพลง ผลงานด้านอสังหาริมทรัพย์ การแสดง การกำกับ การขายสินค้า ข้อตกลงกับแบรนด์ และทัวร์คอนเสิร์ต
ในปี 2023 คาดว่าเทย์เลอร์จะร่ำรวยกว่า Beyoncé ที่มีมูลค่าสุทธิ 500 ล้านดอลลาร์
อย่างที่ทุกคนทราบ รายได้ส่วนใหญ่ของเทย์เลอร์มาจากการทัวร์คอนเสิร์ต โดยที่ครั้งแรก “The Fearless Tour” (2008-2009) ทำรายได้ 75 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ “Swift’s Reputation Stadium Tour” (2018) ทำลายสถิติการทัวร์สเตเดียมของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 345 ล้านดอลลาร์ จาก 38 รอบการแสดง คิดเป็นประมาณ 9 ล้านดอลลาร์ต่อการแสดง (บันทึกก่อนหน้านี้เป็นของ The Rolling Stones ใน “A Bigger Bang Tour” ตั้งแต่ปี 2005 ที่ทำรายได้ 245 ล้านดอลลาร์จาก 70 รอบการแสดง) กลายเป็นทัวร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับสามของนักดนตรีหญิง ณ ขณะนั้น ยอดจำหน่ายตั๋ว 2,068,399 ใบ
Forbes รายงานว่า เมื่อปี 2022 คาดว่าเทย์เลอร์จะมีรายได้ 620 ล้านดอลลาร์จากการออกทัวร์
การกลับมาอีกครั้งหลังโควิด เมื่อเทย์เลอร์ประกาศเดินสาย จัดคอนเสิร์ต “The Eras Tour” กราฟของตลาดบันเทิงก็พุ่งทะยานสูงทันที
คอนเสิร์ตได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำหรับครั้งนี้ คาดการณ์ว่าจะสามารถทำรายได้ 590 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขจากการขายบัตรในสหรัฐฯ เพียงเท่านั้น
ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Questionpro ระบุว่า การทัวร์ของเทย์เลอร์ครั้งนี้ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียวให้สูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ สูบฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น จนกระทรวงการคลังตั้งชื่อให้ปรากฏการณ์นี้ว่า “Taylor Swift Economy”
ในเอเชีย สิงคโปร์ บัตรคอนเสิร์ตเป็นที่ต้องการสูงมาก แฟนคลับจำนวนมากไม่สามารถซื้อบัตรคอนเสิร์ตได้ ยิ่งมีโปรโมชันลูกค้ายูโอบีได้สิทธิพิเศษในการจองตั๋ว ทำให้แฟนคลับทั้งสิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม แห่สมัครบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นวันต่อวันตลอดสัปดาห์ที่มีการประกาศทัวร์
Ariana
มีอัลบัมเปิดตัว “Yours Truly” ในปี 2013 Ariana มาจนถึงอัลบัม “Thank U, Next” ที่ประสบความสำเร็จได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขา Best Pop Vocal Album ทำให้ยอดขายอัลบัมนี้เพิ่มสูงขึ้นทันที มีเพลงฮิตมากมายทั้ง “7 Rings”, “Thank U, Next” และ “Break Up With Your Girlfriend ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกที่ติดอันดับ 3 อันดับแรกใน Billboard 100 ในเวลาเดียวกัน
กระทั่งอัลบัมชุดที่ 6 “Positions” เปิดตัวในปี 2020 มีการสตรีม 174 ล้านครั้ง ส่งผลให้ Ariana ขึ้นอันดับหนึ่งอัลบัมที่ 5 ในชาร์ต Billboard 200
นอกจากนั้น เพลงของเธอติดอันดับทอป 10 ของ Billboard Hot 100 สหรัฐฯ หลายต่อหลายครั้ง เเละเป็นศิลปินคนแรกที่มีพรีซิงเกิลจากสตูดิโออัลบัม 5 อัลบัมแรกของเธอติดทอป 10
Ariana Grande เซ็นสัญญากับค่าย Republic Records ตั้งเเต่เริ่มเดบิวต์ เเละเปลี่ยนไปเซ็นสัญญากับ Wolf Records ซึ่งเป็นค่ายเพลงในเครือของ Republic Records ซึ่งเป็นของ Universal Music Group
แต่คอนเสิร์ตก็ถูกเลื่อนในช่วง COVID-19 ไม่ต่างจากศิลปินคนอื่น
ทัวร์สุดท้ายในปี 2017 “Dangerous Woman” ทำเงินได้ 71 ล้านดอลลาร์
Justin
ทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดในปี 2017 “Purpose World Tour” ของ Justin Bieber ทำรายได้เกือบ 200 ล้านดอลลาร์
เเทบทุกเพลงของเขาที่ปล่อยออกมากลายเป็นเพลงฮิตตลอดกาล ตัวอย่าง Peaches, Baby, What do you mean, Ghost, Beauty and the beast เป็นต้น ช่วยให้เขาสั่งสมชื่อเสียงมาได้อย่างยาวนาน
เเต่เเรกเริ่มจัสตินแจ้งเกิดจากการอัปโหลดคัฟเวอร์เพลงลงบน YouTube จนเข้าตาเเมวมอง เเละได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปิน ได้ออกอัลบัม 6 อัลบัม พร้อมด้วย EP หลายชุด จำหน่ายได้ 150 ล้านแผ่นทั่วโลก เเละกลายเป็นขาประจำของชาร์ต Billboard Hot 100
เช่นเดียวกับศิลปินหลาย ๆ คนในปัจจุบัน รายได้ส่วนใหญ่ของจัสตินมาจากการแสดงสดและการทัวร์คอนเสิร์ต ทัวร์ครั้งเเรกของจัสติน “My World” (2010-2011) ทำรายได้ 53.3 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของ Forbes ตามด้วย “Believe” (2012-2013) กวาดรายได้ไป 69.9 ล้านดอลลาร์ ด้วย 67 รอบการแสดง เเละคอนเสิร์ต “Purpose World Tour” (2016-2017) สร้างเม็ดเงิน 257 ล้านดอลลาร์ ยอดผู้เข้าชม 2,805,481 คน ใน 141 รอบการเเสดง กลายเป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดในปี 2016 และ 2017
เเละในปี 2022 ตั้งเป้าจะทำรายได้เพิ่มอีกหลายร้อยล้าน ทัวร์รอบโลกครั้งที่สี่ของเขาคือทัวร์ “Justice” พร้อมอัลบัมชุดที่ห้าและหกที่ถูกปล่อยออกมา เเต่ด้วยเหตุสุดวิสัยทำให้คอนเสิร์ตนี้ถูกยกเลิกไป
จัสตินเป็นหนึ่งในศิลปินอันดับต้น ๆ บน YouTube ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 71.6 ล้านฟอลโลเวอร์ ยอดรับชมรวมมากกว่า 29,000 ล้านครั้ง อีกทั้งมีอัลบัมอันดับ 1 ถึงแปดอัลบัมในชาร์ต Billboard 200 ซึ่งเป็นสถิติที่ Elvis Presley เคยทำไว้
ในปี 2014 จัสตินติดอันดับ Forbes เซเลบริตีอายุต่ำกว่า 30 ที่ทำรายได้สูงสุด
ส่องรายได้ทัวร์คอนเสิร์ตศิลปินดัง
ทัวร์ครั้งเดียวมากกว่า GDP บางประเทศ
Taylor swift
เดบิวต์ : 2006 ค่าย : Universal Music รายได้ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งล่าสุด : The Eras Tour = 590 ล้านดอลลาร์ (ยอดขายบัตรในสหรัฐฯ เท่านั้น) |
Ed Sheeran
เดบิวต์: 2005 ค่าย : Warner music ยอดขายอัลบัม: 150 ล้านอัลบัม รายได้ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งล่าสุด: Sheeran Divide = 1.1 พันล้านดอลลาร์ |
Coldplay
เดบิวต์: 1997 ค่าย: Warner music ยอดขายอัลบัม: 100 ล้านอัลบัม รายได้ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งล่าสุด: Music of the Spheres = 561 ล้านดอลลาร์ |
Ariana Grande
เดบิวต์ : 2008 ค่าย : Universal Music Group อัลบัมเเรก : Yours Truly ยอดขายอัลบัม : 85 ล้านอัลบัม รายได้ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งล่าสุด : Dangerous Woman = 71 ล้านดอลลาร์ |
Justin Bieber
เดบิวท์ : 2009 ค่าย :Universal Music Group อัลบัมเเรก : My World 2.0 ยอดขายอัลบัม: 150 ล้านอัลบัม รายได้ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งล่าสุด: Purpose World Tour = 257 ล้านดอลลาร์ |
Harry style
เดบิวท์: 2010 ค่าย: Sony Music อัลบัมเเรก: Harry Styles ยอดขายอัลบัม: 15 ล้านอัลบัม รายได้ทัวร์คอนเสิร์ตครั้งล่าสุด: Styles’ Love on Tour = 400 ล้านดอลลาร์ (ยังไม่สิ้นสุด) |
อ้างอิง: musicgateway, alliedmarketresearch
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ