
จากที่ทรุดอย่างหนักตลอด 3 ปีของวิกฤตโควิด มาปีนี้ (2023) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างสายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร และของฝาก ต่างก็ฟื้นกลับมาคึกคักเข้าใกล้คืนสู่ระดับปกติ
หนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมามีเงินสะพัดแล้ว คือ ญี่ปุ่น โดยหลังทยอยเปิดประเทศ ชาวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวก็พากันเดินทางไปญี่ปุ่น

จนเมื่อสิ้นกันยายนที่ผ่านมา ชาวต่างชาติที่เข้าญี่ปุ่นมีมากถึง 15.1 ล้านคน คิดเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2019
ทว่าก็เกิดปัญหาขึ้น เพราะแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศเผชิญกับการที่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเร็วและมากไปเกินรับไหว (Overtourism) จนรัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมขึ้นค่ารถไฟช่วงวันหยุดยาวและทุกสุดสัปดาห์ ไปพร้อม ๆ กับเพิ่มเที่ยวรถโดยสารไปยังแหล่งท่องเที่ยวและจุดเชื่อมต่อการเดินทางต่าง ๆ
เพื่อทำให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวสะดวก และระบายมวลชนได้เร็วขึ้น ขณะที่ชาวญี่ปุ่นก็ยังสามารถสัญจรไปมาได้โดยไม่ติดขัดมากหรือไม่แออัดจนเกินไป

นี่คือหลักฐาน Overtourism ลามทั่วญี่ปุ่นแล้ว ไม่ต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในประเทศเผชิญ และต้องหาทางรับมือไปก่อนหน้านี้
ช่วงเมษายนฝ่ายปกครองของเกาะ อิริโอะโมเตะ แหล่งท่องเที่ยวที่มีพืชพันธ์ุแปลก ๆ และสร้างชื่อด้วยการเที่ยวผ่านเรือคายักสำรวจจนได้ชื่อว่า เกาะกาลาปากอสแห่งซีกโลกตะวันออก สั่งจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้อยู่ที่วันละ 1,200 คน

หลังนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป จนธรรมชาติฟื้นไม่ทันและชาวเกาะเพียง 2,400 คน รับนักท่องเที่ยวไม่ไหว
ในเวลาไล่เลี่ยกันเกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ก็เจอกับ Overtourism หลังนักท่องเที่ยวแห่พากันมาขึ้นรถประจำทางในเมืองมากเกินไป จนเกิดการแออัด และชาวเมืองเดินทางลำบาก

แน่นอนว่าฝ่ายปกครองของเกียวโตไม่สามารถนิ่งเฉย โดยได้สั่งให้มีการเพิ่มเที่ยวรถไปยังแหล่งท่องเที่ยว เพื่อลดความแออัดและบรรเทาปัญหาการใช้ระบบขนส่งมวลชนของคนในพื้นที่

ข้ามมาช่วงสิงหาคม Overtourism ในเมืองคามาคูระก็รุนแรงจนนำมาสู่การจัดการ โดยแฟน ๆ การ์ตูน Slamdunk ต่างพากันไปยังรางรถไฟหน้าชายหาด เพื่อถ่ายกับฉากสำคัญในการ์ตูนเรื่องนี้ แต่บริเวณดังกล่าวยังเป็นสามแยกด้วยจึงทำให้การจราจรติดขัด

ฝ่ายปกครองเมืองคามาคูระจัดให้มีเจ้าหน้าที่ไปดูความเรียบร้อย และเตือนให้แฟน ๆ Slamdunk ถ่ายภาพเร็ว ๆ หรือย้ายไปถ่ายจากสวนหย่อมห่างออกไปแต่ก็ยังสามารถถ่ายภาพบริเวณนี้ได้ เพื่อคลายปัญหาการจราจร
Overtourism ยังขึ้นไปเกิดบนที่สูงซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศด้วย โดยต้นกันยายนฝ่ายบริหารจัดการภูเขาไฟฟูจิได้สั่งปิดและงดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชั่วคราว

หลังปริมาณนักท่องเที่ยวมากเกินไป จนเจ้าหน้าที่จัดการขยะไม่ไหวและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่เพียงพอ
Overtourism ยังไปเกิดที่แหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาและเข้าถึงย่านดังในเมืองหลวงญี่ปุ่นด้วย โดยฝ่ายปกครองเกาะ มิยาจิมะ เริ่มเก็บค่าเหยียบแผ่นดินกับนักท่องเที่ยวคนละ 100 เยน (ราว 25 บาท)

เพื่อนำมาใช้บำรุงรักษาเสาโทริอิอายุ 1,400 ปี อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม และกระจายไปพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในเกาะ

ขณะที่ผู้อำนวยการเขตชิบูย่าในโตเกียวได้สั่งงดจัดฮาโลวีนต่อไปอีกปี เพื่อลดปัญหาขยะ คนเมา การลวนลาม และการเบียดเสียดจนอาจมีคนเสียชีวิตแบบย่านอีแทวอนของเกาหลีใต้เมื่อปี 2022

พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ราว 450 นายดูแลความปลอดภัยและสั่งห้ามร้านค้าทุกแห่งขายเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
สำหรับ Overtourism เริ่มมีการกล่าวถึงในการประชุมการท่องเที่ยวนานาชาติที่เยอรมนีปี 2018 หลังกลายเป็นปัญหาของเมืองดัง ๆ ในยุโรปที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว เช่น เวนิส ของอิตาลี ที่นักท่องเที่ยวเข้ามากเกินไปจนคนในเมืองอึดอัดจนต้องย้ายออก

และหลังวิกฤตโควิดพ้นไป ปี 2022 เวนิส ก็เก็บค่าเหยียบแผ่นดิน 3-11 ดอลลาร์ (ราว 109 -400 บาท) ต่อวัน ส่วน ภูฏาน ขึ้นค่าเหยียบแผ่นดินเป็นวันละ 200 ดอลลาร์ (ราว 7,300 บาท) ต่อวัน

ขณะที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย จะเริ่มเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน 10 ดอลลาร์ (ราว 364 บาท) ตลอดทริปจากชาวต่างชาติในปี 2024 เป็นต้นไป/cnn, bbc, japantoday, yomiuri, aljazeera, mainichi
–
