ธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากหลากหลายปัจจัยประกอบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ที่อาศัย Supply Chain โลจิสติกส์เป็นหลัก ตลอดจนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางคมนาคมของภาครัฐที่กระจายไปในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการในการเช่าพื้นที่คลังสินค้า และโรงงานเพื่อเป็นจุดรวบรวมและกระจายสินค้าไปยังที่ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น

“กองทรัสต์ WHART” ถือเป็นกอง REIT ประเภทอุตสาหกรรม ที่การลงทุนในคลังสินค้า โรงงาน และศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุด โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมมากกว่า 51,000 ล้านบาท และมีมูลค่าตามราคาตลาด (ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566) เท่ากับ 35,020.33 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในกอง REIT ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสม่ำเสมอ สามารถจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่สูงได้เป็นประจำทุกไตรมาส ตั้งแต่จัดตั้งกองทรัสต์มาในปี 2557 จนถึงปัจจุบัน และกองทรัสต์ WHART เองก็ยังมี กลุ่มบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ที่เป็นหนึ่งในผู้นำในการให้บริการด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมครบวงจรของประเทศไทย เป็น sponsor หลักอีกด้วย

อีกทั้งยังมีการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิของกองทรัสต์อย่างต่อเนื่อง โดยมีสินทรัพย์คุณภาพชั้นนำที่เข้าไปลงทุนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานมาตรฐานระดับ พรีเมียม ในทำเลโลจิสติกส์ที่สำคัญ โดยภายหลังจากการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมในปี 2566 จะมีสัดส่วน ~53% เป็นอาคารแบบ Built-to-Suit ที่มีการออกแบบและพัฒนาขึ้นตามความต้องการของลูกค้า ด้วยสัญญาระยะยาว ซึ่งทำให้กองทรัสต์เองมีความมั่นคงทางรายได้และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งด้วยอัตราการเช่าเฉลี่ยในระดับสูง

ความน่าสนใจคือ ผู้เช่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริษัทชั้นนำในหลากหลายธุรกิจที่มีความมั่นคงสูง เช่น กลุ่ม E-Commerce กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (3PLs), และอีกทั้งยังมีผู้เช่าชั้นนำ อาทิ DKSH, Alibaba, Shopee, Unilever, Thai Watsadu และ Starbucks เป็นต้น  และทั้งหมดล้วนมีระยะเวลาของสัญญาเช่า (WALE) ในระยะยาว

โฟกัสลงไปให้ชัดขึ้นจะเห็นว่า ทรัพย์สินของ WHART กระจายตัวอยู่ในที่ตั้งยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์และการขนส่งของประเทศไทย สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้เช่าได้ทั้งในด้านเวลาและต้นทุน  ได้แก่

  • โซนบางนา-ตราด: แหล่งศูนย์กลางการขนส่งของประเทศไทยใกล้กรุงเทพฯ สามารถเชื่อมต่อทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือกรุงเทพ ถนนสายหลัก เดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรมและภูมิภาคต่าง ๆ ได้สะดวก

  • โซนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC): สามารถเข้าถึงท่าเรือแหลมฉบังได้อย่างสะดวก และเป็นพื้นที่ที่ภาครัฐให้การส่งเสริมการลงทุนและเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม เป็นฐานการผลิตของผู้ผลิต โรงงาน และคลังสินค้าจำนวนมาก

  • โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ: โซนอยุธยา-สระบุรี ถือเป็นทำเลที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมและแหล่งศูนย์กระจายสินค้าหลักสู่กรุงเทพฯ และไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

  • โซนกรุงเทพฯ ตะวันตก: ถนนพระราม 2 เป็นบริเวณสำคัญในการกระจายสินค้าสู่ภาคใต้ และเข้าสู่กรุงเทพฯ

ซึ่งหากใครติดตามข่าวสารของกองทรัสต์ WHART จะทราบดีว่ามีการระดมทุนเพื่อเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมมาอย่างต่อเนื่องตลอดทุกปี สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกองทรัสต์ที่มีการเติบโต ขยายขนาดกองทรัสต์ และมีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการมากกว่า 1.74 ล้านตารางเมตร นับเป็นกองทรัสต์ประเภทอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากที่สุดในประเทศ และยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A ด้วยแนวโน้ม “Stable” จาก TRIS ซึ่งแสดงถึงศักยภาพและคุณภาพทรัพย์สินของกองทรัสต์ และมีรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวจากรายได้ค่าเช่า

ล่าสุด กองทรัสต์ WHART มีแผนการระดมทุนเพื่อลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมในปี 2566 (ในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2566) โดยวัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติม 3 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมไม่เกิน 3,566.49 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

1. โครงการ WHA Mega Logistics Center (บางนา-ตราด กม. 23 โปรเจกต์ 3) 

2. โครงการ WHA Mega Logistics Center (เทพารักษ์ กม. 21)

3. โครงการ WHA Mega Logistics Center (แหลมฉบัง โปรเจกต์ 1) 

โดยภายหลังการเข้าลงทุนเพิ่มเติม กองทรัสต์ WHART จะมีพื้นที่เช่าอาคารประมาณ 1.89 ล้าน ตร.ม. และมีอัตราการเช่าเฉลี่ยก่อนและหลัง Undertaking ที่ประมาณ 88%* และ 92%* ตามลำดับ และมีประมาณการอัตราการจ่ายประโยชน์ตอบแทนที่ 0.79 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ประมาณ 8.23%**

หมายเหตุ:

*ข้อมูลภายหลังการลงทุนเพิ่มเติม ณ วันที่กองทรัสต์คาดว่าจะเข้าลงทุนเพิ่มเติม (1 มกราคม 2567) โดยอ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566)

**อ้างอิงประมาณการผลตอบแทนของกองทรัสต์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ตามที่ได้ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน บนสมมุติฐานราคาเสนอขายสูงสุดไม่เกิน 9.60 บาทต่อหน่วย

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุน “กองทรัสต์ WHART” เปิดให้ผู้ลงทุนที่เคยถือหน่วยเดิมอยู่แล้ว และผู้ลงทุนใหม่ที่สนใจ สามารถจองซื้อได้ในช่วงเวลาและช่องทางดังนี้

– ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิ:

  • ช่วงเวลาจองซื้อ: วันที่ 1, 4, 6-8 ธันวาคม 2566
  • ช่องทางการจองซื้อ: เว็บไซต์ K-My Invest (www.kasikornbank.com/kmyinvest) และสาขาของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร 02 888 8888 กด 4 กด 0

– ประชาชนทั่วไป:

  • ช่วงเวลาจองซื้อ: วันที่ 13-15, 18 ธันวาคม 2566
  • ช่องทางการจองซื้อ: ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2888 8888 กด 4 กด 0 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.sec.or.th หรือ www.whareit.com

หมายเหตุ:

1. การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่าย เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน

2. ผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ขอสงวนสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมในกรณีที่ผู้จองซื้อเป็นสัญชาติอื่นใดที่มิใช่สัญชาติไทย อย่างไรก็ดี รายชื่อสัญชาติของผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่ไม่ได้รับการเสนอขายหน่วยทรัสต์จะถูกประกาศผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก่อนวันจองซื้อหน่วยทรัสต์

3. ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566

4. ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมจองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุดที่ 9.60 บาทต่อหน่วย และประชาชนทั่วไปจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้ายที่จะมีการประกาศในวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ทั้งนี้ หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาเสนอขายสูงสุดจะมีการคืนเงินส่วนต่าง

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer