บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดแผนปี 2567 เปิดโครงการใหม่ 8-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ลบ. ตั้งเป้ายอดขาย และยอดรับรู้รายได้ 6,550 ลบ. และ 5,250 ลบ. ตามลำดับ เน้นบริหารความเสี่ยงด้วยการลดพื้นที่โครงการ กระจายทำเลในหลากหลายโซน
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า ปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 8-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้จบ ตั้งเป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 5,250 ล้านบาท วางงบในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท
พอร์ตโปรดักต์ของบริษัท แบรนด์ทาวน์เฮาส์ Lio, Lio Prestige ราคา 2-6 ล้านบาท แบรนด์บ้านเดี่ยว Lanceo CRIB ราคา 3-6 ล้านบาท, บ้านลลิล The Prestige ราคา 5-8 ล้านบาท, Lalin Greenville LUXE ราคา 8-12 ล้านบาท
โดยบริษัทจะยังเน้นการดำเนินและการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ในตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี
ทั้งใช้วิธีบริหารความเสี่ยงด้วยการเปิดตัวครึ่งแรกปี 2567 อย่างน้อย 6 โครงการ ก่อนจะประเมินสถานการณ์ตลาดอีกครั้ง และยังจะลดขนาดพื้นที่แต่ละโครงการลงจาก 40-50 ไร่ต่อโครงการ คุมให้อยู่ที่ประมาณ 20-30 ไร่ เพื่อให้สามารถปิดการขายได้รวดเร็วขึ้น ไม่จมเงินลงทุนมากเกินไป ทั้งจะกระจายทำเลเปิดโครงการไปหลากหลายโซน บาลานซ์การขยายพอร์ตของบริษัท
แผนการตลาด ปี 2567 บริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing
เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายด้วย
นอกจากนี้ ยังเน้นการทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital ในช่องทางใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น กระจายการรับรู้สินค้าผ่านอินฟลูเอนเซอร์ในระดับฐานผู้ติดตามไม่ถึงหลักล้านมากขึ้น นำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights
ทั้งบริษัทจะให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็นเรียลดีมานด์ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของ Design Innovation และ Smart & Flexible Function ของตัวบ้าน
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2567 บริษัทคาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ราว 2.5% – 3.5% อย่างไรก็ตาม ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง อย่างภายในประเทศ ภาระหนี้สาธารณะ และภาระหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง ยังคงเป็นความท้าทายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังคงมีปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
ตลอดจนการต่ออายุมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี การส่งออก และการท่องเที่ยวที่น่าจะดีขึ้น
รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ก็จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
–



