Trend: เอไอ คือคำตอบเดียวแบบเป็นเอกฉันท์ ถ้าถามว่าสองถึงสามปีที่ผ่านมานี้เทรนด์เทคโนโลยีใหญ่สุดของโลกคืออะไร ซึ่งเหตุผลและหลักฐานรองรับก็มีมากมาย
ทั้งการที่คนทั่วไปต่างนำไปใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ไล่ตั้งแต่ทำการบ้าน เขียนบทความ ไปจนถึงเรื่องสำคัญต่อชีวิตอย่างประวัติย่อ กระทั่งไปจนถึงใช้ในวงการบันเทิงและแฟชั่น

อย่าง การสร้างมังงะทั้งเล่ม และสร้างนางแบบเอไอ แต่เอไอก็มีด้านมืดผ่านการปลอมแปลงที่น่ากลัวจนมองข้ามไม่ได้อีกต่อไป และอาจถึงขั้นต้องบรรจุเป็นบทเรียนของเด็กนักเรียนกันแล้ว

ด้านมืดของเอไอที่ว่านี้ คือ การปลอมแปลงระดับลึก (Deepfake) ซึ่งปัจจุบันแนบเนียนจนน่ากลัว และทำได้หมด ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง วิดีโอ หรือเสียง ซ้ำร้ายยังเข้าถึงได้ง่าย จนบรรดามิจฉาชีพนำมาใช้เป็นเครื่องมือมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่งผลให้จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อ โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวเมื่อสาย มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แบบรายวันตามที่สื่อรายงาน จนอาจกล่าวได้ว่าไปบดบังพัฒนาการในทางที่ดี และส่งผลให้เรากลัวเอไอกันมากไป

มีรายงานว่า เฉพาะในอังกฤษมีคนดังตกเป็นเหยื่อของ Deepfake ทางภาพและวิดีโอมากถึง 4,000 คน และในอนาคตมีความเป็นไปสูงว่า Deepfake แบบวิดีโออาจเข้ามาคุกคามในแพลตฟอร์ม Zoom

จนเราดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายใน Zoom ที่กำลังคุยกัน ตั้งแต่แค่คุยเล่น ไปจนถึงสมัครงานและการเจรจาสำคัญทางธุรกิจนั้นเป็น Deepfake จากเอไอ ซึ่งถ้าเบื้องหลังเป็นมิจฉาชีพ ความเสียหายย่อมตามมา
ส่วน Deepfake ทางเสียงมีแนวโน้มว่า ต่อไปเหยื่อจากการถูกมิจฉาชีพหลอกเอาเงินรูปแบบต่าง ๆ เช่น Deepfake ว่าเป็นลูก ญาติ หรือเพื่อน อ้างว่ากำลังลำบากจะมีมากขึ้น
Deepfake ยังจะกลายเป็นภัยทางสังคม การปกครอง หรือภูมิรัฐศาสตร์โลก หลังการปลอมภาพ วิดีโอ และเสียง ของผู้บริหารประเทศจะออกมามากขึ้น เช่นเดียวกับ Deepfake เอกสารสำคัญหรือภาพวิดีโอความเสียหายของหน่วยงานรัฐ
ซ้ำร้าย Deepfake ก็ทำได้ไม่ยากอีกต่อไป เพราะบางเว็บสอน และภาพกับเสียงก็สามารถ ‘ดูด’ ได้ผ่านโทรศัพท์

ส่วนคนดังยิ่งแล้วใหญ่เพราะทั้งภาพ วิดีโอ และเสียง ของพวกเขาสามารถหาได้จากสื่อออนไลน์ และเผยแพร่ได้ง่ายผ่านสื่อโซเชียลอีกด้วย
Deepfake ยังทำเกิดธุรกิจและอาชีพที่ทำงานเพื่อตรวจจับ Deepfake แบบต่าง ๆ เช่นบริษัท Yoti ในอังกฤษที่นอกจากมีเทคโนโลยีตรวจจับ Deepfake แล้ว
ยังว่าจ้างคนที่มีทักษะสูงด้านการสังเกตมาทำตำแหน่งพนักงานตรวจสอบภาพคนว่าเป็น Deepfake หรือไม่ โดยตำแหน่งดังกล่าวเรียกว่า Super-recogniser
ขณะที่ Reality Defender บริษัทตรวจจับ Deepfake ในสหรัฐฯ ก็มีผลงานดีจนได้ทำงานให้รัฐบาลไต้หวัน องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) รวมไปถึงสื่อใหญ่ ๆ และธนาคารอีกหลายแห่ง

ความน่ากลัวอีกอย่างจาก Deepfake คือ ต่อไปจะเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี Deepfake ในระดับต่าง ๆ แข่งกัน โดยเมื่อช่องโหว่ถูกตรวจพบ ก็มีการพัฒนาเอไอให้ฉลาดเพื่อให้ตรวจจับได้ลำบากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่ทำให้ทางป้องกันที่ควรทำอย่างแรกคือ การสอนทักษะการแยกภาพ วิดีโอ หรือเสียงจริงกับ Deepfake ให้เด็กกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะชีวิตประชากรรุ่นใหม่ของโลกจากนี้ ต้องเจอกับ Deepfake หลายระดับและหลากรูปแบบ

ถ้านำมาใช้ในทางที่ดีก็โชคดีไป แต่ถ้าผู้ใช้เป็นมิจฉาชีพผลเสียที่พวกเขาได้รับอาจมากกว่าที่เป็นข่าวในปัจจุบันหลายเท่า ♦/bbc, thegaurdian
–
