ในวันสัตว์เลี้ยงโลก

เราอยากจะมาชวนให้เห็นว่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยใหญ่แค่ไหน

ในปีนี้คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยจะมีมูลค่า 74,800 ล้านบาท เติบโต 12.4% จากปี 2566

การเติบโตของมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยนับตั้งแต่ปี 2562-2567 มีการเติบโตเฉลี่ย 17.5% ข้อมูลนี้อ้างอิงจาก ttb analytics

มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยแบ่งเป็น

อาหารสัตว์เลี้ยง 44,600 ล้านบาท

อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง 22,900 ล้านบาท

บริการรักษาสัตว์  6,640 ล้านบาท

บริการดูแลสัตว์เลี้ยง 660 ล้านบาท

และทุก Category มีการเติบโตเฉลี่ย 5 ปี (2562-2567) ดังนี้

อาหารสัตว์เลี้ยง เติบโตเฉลี่ย 17.0%

อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เติบโตเฉลี่ย 17.3%

บริการรักษาสัตว์  6,640 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 21.7%

บริการดูแลสัตว์เลี้ยง 660 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 16.7%

 

โดยในปีนี้คาดการณ์ค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับสัตว์ต่อตัวต่อปี

ในกรณีเลี้ยงเป็นลูกที่ 41,100 บาทต่อตัวต่อปี

หมดไปกับอาหารและขนม 22,500 บาท

สุขภาพ เช่น อาหารเสริม วัคซีน และค่ารักษา 10,125 บาท

ของเล่นและค่าดูแล 8,575 บาท

 

ในกรณีเลี้ยงแบบปล่อยอิสระจะมีค่าใช้จ่ายที่ 7,745 บาทต่อตัวต่อปี

หมดไปกับอาหารและขนม 5,545 บาท

สุขภาพ เช่น อาหารเสริม วัคซีน และค่ารักษา 1,000 บาท

ของเล่นและค่าดูแล 1,200 บาท

จะเห็นได้ว่าการเติบโตและค่าใช้จ่ายที่ทุ่มไปกับสัตว์เลี้ยงเป็นโอกาสที่น่าสนใจของธุรกิจต่าง ๆ ที่เข้าไปจับตลาด เนื่องจากในปัจจุบันที่ กัลยรักษ์ ปิยะคุณ First Executive Vice President, Division Head – Market & Business Intelligence, Siam Piwat Group กล่าวในงานสัมมนา Marketeer Talk Shopping Insight and Trends ที่ผ่านมาไว้ว่า เกิดจาก

เทรนด์ SINK and DINK ที่คนไทยมองสัตว์เลี้ยงเช่นน้องหมา น้องแมวเป็นเหมือนลูก

โดย SINK มาจาก: Single Income No Kid หรือคนโสดที่มีรายได้

ส่วน DINK มาจาก Double Income No Kid หรือ คู่แต่งงานมีรายได้และไม่มีลูก

สองเทรนด์นี้นำมาซึ่ง Pet Economy และเลี้ยงดูน้องหมา น้องแมวอย่างดี

ซึ่งมีผลต่อธุรกิจ คือ การเกิดขึ้นของคาเฟ่น้องหมา น้องแมว โรงพยาบาลสัตว์ คลินิกสัตว์ ประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยง และอื่น ๆ ตามมา

และ หรรษา วงศ์สิริพิทักษ์ Head of Marketing – The 1, Central Group เปิด Insight จากผลสำรวจของ The 1 ในงาน Marketeer Talk Shopping Insight and Trends ว่า

 ความน่าสนใจของเทรนด์ Pet Parent คือ คนไทยเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก และเปย์ให้สัตว์เลี้ยงเฉลี่ย 1-2 หมื่นบาทต่อตัวต่อปี

โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงยอดนิยมในปี 2566 ประกอบด้วย

แมว 63%

สุนัข 31%

และสัตว์เลี้ยง Exotic 6% ซึ่งสัตว์เลี้ยง Exotic เป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงจากยอดขายสินค้ากลุ่มนี้เติบโตกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2565

สำหรับสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของคนแต่ละ Gen ที่จะสื่อถึงไลฟ์สไตล์และชีวิตความเป็นอยู่ ประกอบด้วย

Baby Boomer เป็นกลุ่มที่เลี้ยงสัตว์น้อยที่สุด

Gen Z นิยมเลี้ยงนกและปลา เพื่อช่วยเติมเต็มชีวิต และสิริมงคลแบบไม่เปลืองแรง

Gen Y เป็นทาสแมวอันดับหนึ่ง เลี้ยงเพื่อแก้เหงา และเป็น Gen ที่นิยมอยู่คอนโด ที่มีพื้นที่จำกัด และใช้จ่ายให้กับแมวสูงมาก ทั้งทรายแมว คอนโดแมว เครื่องปล่อยอาหารเป็นช่วงเวลา และอื่น ๆ

Gen Z เลี้ยงสุนัขมากที่สุด จากการเป็นวัยเริ่มทำงาน และต้องการเสริมพลังบวก คนกลุ่มนี้จะใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงสูงมาก

ซึ่งการรับเลี้ยงแมวของทาสแมว 50% เลือกรับเลี้ยงแมวจรจัด

และผู้เลี้ยงสุนัขกับสัตว์เลี้ยง Exotic นิยมซื้อจากฟาร์ม

จากเทรนด์ Pet Parent เป็นขาขึ้นของเทรนด์ธุรกิจเพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง

เช่น อาหารเกรดโฮลิสติก (อาหารที่เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติ)  ในปีที่ผ่านมามียอดขายเติบโตมากถึง 20 เท่าจากปี 2565

และ 65% ของผู้เลี้ยงมองหา Pet Wellness Center บริการดูแลและรักษาสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร

ส่วน Top5 แบรนด์สินค้าสัตว์เลี้ยงยอดนิยม ได้แก่ วิสกัส เพ็ดดีกรี สมาร์ทฮาร์ท สมาร์ทเตอร์ และมีโอ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี เมื่อในวันนี้สัตว์เลี้ยงที่คนรักเหมือน น้อนน เหมือนลูก จึงไม่แปลกเลยที่จะมีผู้เล่นกระโดดเข้าไปสู่ตลาดสัตว์เลี้ยง จนกลายเป็นการสร้างรายได้ มูลค่า ความแตกต่างให้กับแบรนด์ตัวเองจากคู่แข่ง เพื่อสร้างการเติบโตในรูปแบบ Pet Economy แบรนด์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจรายได้ของตัวเองจากการเดินหน้ามาหา Pet

และสำหรับผู้สนใจในธุรกิจสัตว์เลี้ยง ติดตามงานสัมมนา Marketeer Talk ตอนต่อไป


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer