เชฟเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม เพราะเชฟแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์และชื่อเสียงที่แตกต่างกัน อย่าง Heston Blumenthai (เฮสตัน บลูเมนธาล) เชฟชาวอังกฤษ ผู้โด่งดังเรื่องการมิกซ์แอนด์แมตช์รสชาติอาหาร

เขามีชื่อเสียงจากการทำงานในร้านอาหารแห่งแรกของเขา The Fat Duck ในเมืองเบรย์ รัฐเบิร์กเชียร์ ซึ่งเปิดในปี 1995 และได้รับดาวมิชลินดวงแรกในปี 1999 นอกจากนี้ เขายังได้รับ Officer of the Order of the British Empire (OBE) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรวรรดิบริติช จากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เรียกได้ว่าความสำเร็จของเชฟ Heston Blumenthal ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกนั่นเอง

Heston Blumenthai เชฟผู้มีความคิดสร้างสรรค์ในการจับคู่อาหาร

เชฟ Heston Blumenthai เกิดวันที่ 27 พฤษภาคม 1966 ในกรุงลอนดอน ปัจจุบันเขาเป็นเชฟคนดังชาวอังกฤษ นักเขียนด้านอาหาร และเจ้าของร้านอาหาร The Fat Duck ร้านอาหารระดับสามดาวมิชลิน ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น 50 ร้านอาหารดีที่สุดในโลกในปี 2005

เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกการทําอาหารแบบหลายประสาทสัมผัส การจับคู่อาหาร และการชูรสชาติให้กลมกล่อม เขาได้รับความสนใจจากสาธารณชนด้วยสูตรอาหารที่ไม่ธรรมดา เช่น ไอศกรีมเบคอนและไข่ หรือโจ๊กหอยทาก เขายังได้รับการสนับสนุนแนวทางทางวิทยาศาสตร์ในการปรุงอาหารอีกด้วย เขาจึงได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย Reading, Bristol และ London

ความสนใจในการทําอาหารของเขาเริ่มต้นเมื่ออายุ 16 ปีในวันหยุดของครอบครัวที่โพรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส เขามีโอกาสได้ไปร้านอาหาร 3 ดาวมิชลิน L’Oustau de Baumanière เขาเลยประทับใจและได้รับแรงบันดาลใจจากคุณภาพของอาหารและประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหมด

เขาจึงกลับไปตั้งใจเรียนรู้การทำอาหารและได้รับอิทธิพลจากตําราอาหารชุด Les recettes originales กับเชฟชาวฝรั่งเศสอย่าง Alain Chapel

ต่อมาเขาได้เริ่มฝึกงานที่ Le Manoir aux Quat’ Saisons ของ Raymond Blanc เขาได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารมากมาย พร้อมได้รับอิทธิพลการทำอาหารรูปแบบใหม่ ๆ เมื่ออ่าน On Food and Cooking: the Science and Lore of the Kitchen โดย Harold McGee

จุดเริ่มต้นของร้าน The Fat Duck

เมื่อเขาสะสมประสบการณ์เรียบร้อยแล้ว ในปี 1995 เชฟ Heston Blumenthai ได้ซื้อผับแห่งหนึ่งมาปรับปรุงพร้อมเปิดเป็นร้านอาหารเป็นของตัวเอง ซึ่งเริ่มแรกมีแค่เขาเพียงคนเดียวในการดำเนินธุรกิจและเปิดร้านให้บริการอาหารในรูปแบบร้านอาหารฝรั่งเศส

โดยมีเมนูเด็ดอย่างทาร์ตเลมอน สเต๊กและมันฝรั่งทอด ที่เขาได้นำนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการทำอาหารในรสชาติมีสัมผัสที่นุ่มละมุนมากยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานร้านอาหารของ Heston Blumenthai ก็ได้รับรางวัลดาวมิชลินดวงแรกในปี 1999 และสองปีต่อก็ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ดวงที่สอง พร้อมทั้งรางวัลร้านอาหารแห่งปี และ Jay Rayner นักวิจารณ์ของ The Guardian ยังได้วิจารณ์ในเชิงบวกว่า ร้านของเขามีคุณค่าที่น่าทึ่งอย่างแท้จริงอีกด้วย

ในปี 2004 The Fat Duck กลายเป็นร้านอาหารที่สามในสหราชอาณาจักรที่ได้รับดาวมิชลินสามดวง รองจาก Waterside Inn และ Restaurant Gordon Ramsay ซึ่งในเวลานี้กิจการของเขาก็ค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งร้านที่ประสบความสำเร็จในเวลาอันสั้น

ด้วยความที่เชฟ Heston Blumenthai ได้ทดลองการจับคู่อาหาร ซึ่งสูตรอาหารถูกสร้างขึ้นโดยการระบุความคล้ายคลึงกันของโมเลกุลระหว่างส่วนผสมต่าง ๆ และนําสิ่งเหล่านี้มารวมกันในจาน อย่างเช่นไวท์ช็อกโกแลตกับคาเวียร์ หรือปลาแซลมอนกับหน่อไม้ฝรั่ง ซึ่งแม้ว่าอาหารของเขาจะดูไม่เข้ากัน แต่กลับได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดี

โดยเชฟ Heston Blumenthai เรียกวิธีการทำอาหารของเขาว่า “การทําอาหารแบบหลายประสาทสัมผัส” ซึ่งสไตล์การทําอาหารแบบนี้ทำให้ร้านอาหารของเขามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครนั่นเอง

นอกจากนี้ เขาได้บุกเบิกการใช้เสียงเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การรับประทานอาหารด้วยอาหาร Sound of the Sea ของเขาที่ลูกค้าจะได้ฟังเสียงทะเลในขณะที่รับประทานอาหารซีฟู้ด

จึงถือได้ว่าเขาเป็นผู้บุกเบิกในการทำอาหารสไตล์นี้อย่างแท้จริง การันตีได้จากรางวัล Chef Award จากงาน Catey Awards ในปี 2004


เรื่อง: ภริดา มุทิตาภรณ์


ที่มา:

https://en.wikipedia.org/wiki/Heston_Blumenthal

https://www.dinnerbyheston.co.uk/team/heston-blumenthal

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer