เวลา + กาแฟ ฯลฯ /วิรัตน์ แสงทองคำ
หมายเหตุ : คอลัมน์ “คอกาแฟ” เดินทางมาไกลทีเดียว ผ่านเรื่องราวมากมาย ขณะได้ค้นพบมิติเชื่อมโยง มีมุมกว้างกว่าที่คิด ถึงเวลาแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อ ให้สัมพันธ์กับแนวคิดและแนวทาง นำเสนอเรื่องราวจากนี้ไปให้เปิดว้างกว่าที่เคย
หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องจากข้างหลังภาพอันเป็น “ชิ้นส่วน” หนึ่งซึ่งสำคัญ ที่ได้ขาดหายและตกหล่น สู่ความตั้งใจอย่างแน่วแน่ ทั้งเติมเต็มความทรงจำของสังคมศิลปะไทยร่วมสมัย และเชื่อมโยงไปกับสังคมโลก
Suchao Sisganes: The Overlooked Genius of the East โดย Sivaporn Dardarananda เป็นหนังสือที่มีค่าควรอยู่บนชั้นโชว์ รูปลักษณ์ดูดีมีสไตล์ สีสันสวยงามทั้งเล่ม เกือบทุกหน้ามีภาพงานจิตรกรรม (paintings) เนื้อหาในเล่มนำเสนออย่างกระชับ อ่านสนุก และมีแง่มุมลุ่มลึกให้ขบคิด
งานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเพิ่งมีขึ้นเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้คนในแวดวงนักสะสมศิลปะมากหน้าหลายตาได้มาร่วมงาน ในนั้นมีรัฐมนตรีคลังจากต่างวาระกันถึง 3 คน สะท้อนสายสัมพันธ์ในแง่มุมหนึ่ง
ศิวะพร ทรรทรานนท์ ในวัย 77 ปี (2490-ปัจจุบัน) ได้ศึกษาค้นคว้าเชิงลึกในการเสนอเรื่องราวชีวิตและงานจิตรกรรมของสุเชาวน์ ศิษย์คเณศ (2469-2529) ผู้ที่ด่วนจากโลกในวัยเพียง 60 ปี เมื่อเกือบ 4 ทศวรรษที่แล้ว แม้ว่าทั้งสองต่างวัยกัน โดยที่สุเชาวน์มีอายุมากกว่าศิวะพรกว่า 20 ปี ทว่าช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกันเพียงราวทศวรรษเศษ ๆ นั้น กลับมีความสัมพันธ์กันอย่างประทับใจ
ศิวะพร ทรรทรานนท์ มองอย่างทะลุ ดังบทสรุปที่ว่า “Suchao’s paintings are his life story.” ทั้งยังมองเห็นความงามทางศิลปะและคุณค่า ซึ่งเทียบเคียงได้กับผลงานของศิลปินไทยผู้โดดเด่นแถวหน้าและศิลปินมีชื่อระดับโลก
สุเชาวน์ ศิษย์คเณศ เกิดที่เมืองไทยในครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเล เป็นกำพร้าตั้งแต่เยาว์วัยเพียง 10 ขวบ เมื่อบิดา-มารดาตัดสินใจเดินทางกลับแผ่นดินเกิดและเสียชีวิตอย่างกระชั้นชิด เขาโชคดีอยู่บ้าง โดยเติบโตขึ้นในย่านที่เจริญที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างดีจากโรงเรียนอัสสัมชัญถึงมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่ามกลางบางเรื่องราวอันตื่นเต้นเกี่ยวกับการสร้างตัวของชาวจีนโพ้นทะเลในสังคมไทย
ทว่าเขาเผชิญความยากลำบาก ด้วยฐานะยากจนข้นแค้นและโดดเดี่ยวตลอดช่วงชีวิต ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับอาชีพที่ยังไม่ลงหลักปักฐานในสังคมไทยก็เป็นได้ มีบางจังหวะที่ความหวังบางเบาซ่อนอยู่ เมื่อมองผ่านงานศิลปะของเขา จะยิ่งเข้าถึงอย่างจับใจและเข้าใจบริบทเวลานั้น โดยเฉพาะจากภาพ “เด็กกำพร้า” “ชาวนา” และ “ทุ่งนาและควาย”
จากเรื่องราวของคนคนหนึ่ง ในฉากชีวิตชาวจีนโพ้นทะเลในสยาม อีกด้านหนึ่งที่มีไม่น้อยซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ สะท้อนสู่ภาพกว้างทางสังคม ผู้คนพยายามปรับตัวในระยะเปลี่ยนผ่านที่ค่อนข้างยาวนาน จากการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเวียดนาม
แล้วมาถึงทางแยก เมื่อสังคมไทยปรับทิศในยุคสงครามเวียดนาม ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐอเมริกา เริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ กู้เงินต่างประเทศก้อนใหญ่มาปรับโฉมที่ราบลุ่มเจ้าพระยา สร้างระบบชลประทาน กระตุ้นการผลิตข้าวเพื่อการส่งออกเป็นการใหญ่
หนึ่งในงานของสุเชาวน์ ศิษย์คเณศ สะท้อนภาพนั้นด้วย จาก “ชาวนามีหนวด” ผู้กรำงานหนัก ถึง “ชาวนาชรา ถือกล้องยาสูบ” ประหนึ่งเชื่อมโยงโลกตะวันตก (ผ่าน “หนวด” และ “กล้องสูบบุหรี่”) กับสังคมไทย ด้วยความหวังที่เห็นราง ๆ อยู่ข้างหน้าของผู้คนสามัญที่เรียกกันว่า “กระดูกสันหลังของประเทศ”
น่าเสียดายที่สุเชาวน์ ศิษย์คเณศ มีชีวิตค่อนข้างสั้น ผ่านยุคนั้นได้ไม่นาน เมื่อเทียบกับศิลปินจิตรกรรมรุ่นเดียวกันที่ต่อมากลายเป็นรุ่นใหญ่ พวกเขาเหล่านั้นผ่านช่วงเวลาเร้าใจและตื่นเต้น โดยเฉพาะกับภาวะเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในช่วงทศวรรษถัดมา (2530-2540) มีนักสะสมงานศิลปะหน้าใหม่ ๆ เกิดขึ้น มีงานแสดงศิลปะไม่ขาดสาย ไม่เพียงให้ศิลปินไทยยืนมั่นคงขึ้น หากยังเป็นเวลาบ่มเพาะและยกระดับให้พวกเขาหลายคนได้รับรางวัลเกียรติยศระดับชาติประทับตรา
ช่วงเวลาที่ว่ามีบุคคลหนึ่งที่โดดเด่น มาพร้อมกับยุคอเมริกัน และมีส่วนร่วมในการจุดกระแสศูนย์กลางสังคมการเงินให้คึกคัก ขณะเดียวกันยังเป็นผู้เชื่อมโยงยุคสมัยอย่างผสมผสานอย่างน่าทึ่ง
ผมรู้จักเขามานานกว่า 3 ทศวรรษ เคยเขียนถึงเขาหลายครั้ง รวมถึงครั้งหนึ่งใน “เวลากาแฟ” ตอนต้น ๆ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว (โปรดอ่าน “จากตำนานชีวิต สู่รสนิยมยุคสมัย”)
ศิวะพร ทรรทรานนท์ มากับขบวน MBA รุ่นแรก ๆ ซึ่งโลดโผนในสังคมธุรกิจไทย เป็น “หัวพอก” ปลุกตลาดหุ้นไทยยุคต้น โพรไฟล์ของเขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ อยู่บ้าง เนื่องจากมีชีวิตในวัยเยาว์ ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในช่วงฟื้นฟูหลังสงครามโลก บางเศษเสี้ยวของเขาสัมผัสกระแสในยุคหลัง Espresso ขณะอยู่ท่ามกลางฉากยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งอารยธรรมและประวัติศาสตร์ ที่ยังคงมีอิทธิพลทรงพลังต่อโลกมาช้านานและต่อเนื่อง เชื่อว่าได้ส่งผ่านซึมลึกในความคิดและความเชื่อของเขาด้วย
หนังสือเล่มนี้ยังให้ภาพกว้างของแวดวงศิลปะร่วมสมัยไทย ผ่านสายสัมพันธ์ระหว่างศิวะพรกับบรรดาศิลปินผู้มีชื่อเสียง ผ่านฉากและตอนที่เต็มไปด้วยสีสัน จากช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสู่ช่วงใหม่ จิตรกรรมไทยเปิดกว้างอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เขากลับเมืองไทย (2513) และเป็นผู้บริหารธุรกิจดาวรุ่งในช่วงหนึ่ง (2523-2536) งานที่ต่อเนื่องที่สุดตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน กว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เกี่ยวข้องกับแวดวงศิลปะไทยอย่างรอบด้าน จากความรู้ ความเข้าใจ และยอมรับอย่างจริงใจ สู่บทบาทสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างจริงจังและตั้งใจ โดยเฉพาะความพยายามเปิดฉากใหม่ให้กว้างขึ้น เพื่อให้ศิลปะไทยร่วมสมัยอยู่ในกระแสโลก
สาระของหนังสือเล่มนี้ได้เล่าเรื่องราวชีวิตหลากมิติของศิวะพร ทรรทรานนท์ ไว้ในนั้นด้วย
–

วิรัตน์ แสงทองคำ คอลัมนิสต์ธุรกิจด้วยวัตรปฏิบั







