ตู้เติมเงิน กำลังจะหายไปจากตลาดอย่างช้า ๆ หรือไม่ (วิเคราะห์)
หมดผู้ให้บริการในตลาดตู้เติมเงินไปอีกหนึ่ง หลังจากบริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล ประกาศยุติธุรกิจตู้เติมทรู ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 โดยให้บริการวันสุดท้าย 30 พฤศจิกายน 2567
หลังจากที่กลุ่มทรูเข้าสู่ธุรกิจตู้เติมเงินตั้งแต่ปี 2560
การเข้ามาในธุรกิจตู้เติมทรูในเวลานั้นบริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัสได้วิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมตู้เติมเงินยังมีโอกาสเติบโตได้มาก จากการเติมเงินมือถือผ่านตู้เติมเงินมีสัดส่วนเพียง 20% ของช่องทางเติมเงินมือถือทั้งหมด และสัดส่วนการเติมเงินที่ใหญ่สุดเป็นการเติมเงินผ่านบุคคลที่เป็นตัวแทนอิสระ 30%
ส่วนในปัจจุบันเกมการแข่งขันของตู้เติมเงินได้เปลี่ยนสู่บริการที่หลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า และจำนวนตู้ที่เข้าถึงลูกค้ามากที่สุด เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าใช้บริการมากที่สุด เพราะรายได้ของตู้เติมเงินมาจากค่าธรรมเนียม ค่าบริการ และอื่น ๆ
บนการแข่งขันที่มีผู้เล่นในตลาดหลากแบรนด์ ทั้งบุญเติม ของบริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), เติมสบายพลัส ของสบายเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน), กะปุก ท็อปอัพ ของบริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และอื่น ๆ
แต่ในธุรกิจตู้เติมเงินได้ส่งสัญญาณทางลบให้กับผู้ประกอบการ จากการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลโดยเฉพาะโมบายแบงกิ้งที่เข้ามาเปิดโลกธุรกรรมการเงิน ทั้งโมบายเพย์เมนต์ พร้อมเพย์ เติมเงินอีวอลเลต เติมเงินมือถือ ชำระบิลและอื่น ๆ ผ่านแพลตฟอร์มโมบายแบงกิ้งได้อย่างเร็วและง่ายขึ้น และธุรกรรมหลาย ๆ ธุรกรรมไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมบริการ
ซึ่งเห็นได้จากการถอนตัวออกจากธุรกิจของตู้เติมทรู ที่ Marketeer สอบถามทรูพบว่าในปัจจุบันมีประมาณ 8,000 ตู้
แบ่งเป็นภาคอีสาน 55%
ภาคเหนือ 17%
ภาคใต้ 11%
อื่น ๆ 17%
ซึ่งธุรกรรมเติมเงิน และสมัครแพ็กเกจต่าง ๆ ของทรู ลูกค้ายังคงทำธุรกรรมผ่านพาร์ตเนอร์ เช่น ตู้บุญเติมได้
และถ้ามองไปที่ตู้บุญเติม ซึ่งเป็นผู้ให้บริการตู้เติมเงินรายใหญ่ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตู้บุญเติมมีจำนวนตู้และจำนวนธุรกรรมที่ลดลง เช่นกัน
ปี 2565
จำนวน 129,918 ตู้
มูลค่าธุรกรรมผ่านตู้ 35,857 ล้านบาท
ปี 2566
จำนวน 125,407 ตู้
มูลค่าธุรกรรมผ่านตู้ 33,869 ล้านบาท
มกราคม-กันยายน 2567
จำนวน 120,391ตู้
มูลค่าธุรกรรมผ่านตู้ 25,228 ล้านบาท
หรือแม้แต่ซิงเกอร์ในปีที่ผ่านมาอ้างอิงจากตลาดหลักทรัพย์พบว่ามีรายได้จากการจำหน่ายตู้เติมเงินเหลือ 0% จากปี 2565 ที่มีสัดส่วนรายได้ 1% และปี 2564 สัดส่วนรายได้ 2%
อย่างไรก็ดี สำหรับธุรกิจ ตู้เติมเงิน ถือเป็นธุรกิจที่ในวันนี้ได้เผชิญกับความท้าทาย ทั้งด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ตลอดจนด้านเศรษฐกิจที่ฉุดกำลังซื้อให้มีเม็ดเงินในกระเป๋าใช้จ่ายน้อยลง
บนการแข่งขันที่มีผู้เล่นบางราย เช่น กะปุก ท็อปอัพ ที่รุกตลาดผ่านบริการ และจำนวนจุดให้บริการผ่านการจับมือกับกระทรวงพาณิชย์ติดตั้งตู้ให้กับร้านโชห่วยฟรี เป็นต้น
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
