ตลาดสุกี้ หม้อร้อน เดือด วิเคราะห์ MK vs ตี๋น้อย ใครจะชนะในศึกนี้

กินอะไร กินอะไร กินอะไร ไปกินเอ็มเค” เป็นสโลแกน ที่สร้างภาพจำของเอ็มเค สุกี้คุณภาพสูง ที่ครองตลาดอันดับ 1 มาต่อเนื่องหลายปี

แต่วันนี้สโลแกน “อร่อยไม่อั้น เที่ยงวันยันเช้า” ของสุกี้ตี๋น้อย แบรนด์ใหม่ราคาประหยัดกำลังสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้วงการ

บนเส้นทางเดียวกันทั้ง 2 แบรนด์มีเป้าหมายครองความเป็น 1 ในใจคนไทยเหมือนกัน แต่วิธีการและกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกัน

ศึกครั้งนี้ใครจะชนะระหว่างรายใหญ่ที่มุ่งมั่นในเรื่องคุณภาพ ราคาสูง กับรายเล็กที่เน้นในเรื่องราคาที่ย่อมเยา แต่คุ้มค่า

สุกี้ 2 หม้อนี้กำลังเดือด

MK

จุดแข็ง–จุดอ่อน ของแบรนด์

จากร้านอาหารไทย 1 คูหาเล็ก ๆ ย่านสยามสแควร์ กลายมาเป็นร้านสุกี้เอ็มเคสาขาแรกในห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว เมื่อปี 2529

ผ่านไป 38 ปี ในประเทศไทยสุกี้เอ็มเคมีสาขาทั้งหมดกว่า 400 สาขา เป็นการเติบโตจากจุดแข็งในเรื่องความสดใหม่ของวัตถุดิบ และการบริการที่ดี จนสามารถขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดสุกี้ในเมืองไทยอย่างแข็งแกร่งมานานหลายปี

รายได้หลักของเอ็มเคมาจากร้านอาหารประเภทสุกี้กว่า 70% แต่กลับมีจุดอ่อนตรงที่ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับคู่แข่งด้วยกัน  

ในขณะสถานที่ตั้งส่วนใหญ่อยู่ในห้างสรรพสินค้า ในบางพื้นที่อาจจะเข้าถึงได้ยาก

ส่วนจุดแข็งของแบรนด์ ตี๋น้อยเริ่มจากรูปแบบที่เป็นบุฟเฟต์ราคาย่อมเยาเข้าถึงได้ง่ายเพียง 199 บาท กลายเป็นตัวดึงลูกค้าให้เข้ามารับประทานได้บ่อยครั้ง ก่อนที่จะขึ้นราคาเป็น 219 บาท(ไม่รวมVAT 7% ไม่รวมน้ำ) ในปัจจุบัน    

เวลาให้บริการเที่ยงวันถึงตี 5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีคู่แข่ง และที่สำคัญตี๋น้อยเน้นการขยายสาขาต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว 

แต่ราคาที่ย่อมเยาและการขยายสาขาที่รวดเร็วทำให้ตี๋น้อยต้องเจอกับความท้าทายในเรื่องการควบคุมคุณภาพและการบริการเช่นกัน กลายเป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งบริหารจัดการ

ในขณะที่เอ็มเคเน้นไปที่รักษาฐานของลูกค้าครอบครัวคนชั้นกลางและสูง ตี๋น้อยกลับโฟกัสชัดเจนไปที่วัยรุ่นและกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีจำนวนมาก

เอ็มเค กรุ๊ป วิถีผู้นำที่ต้องปรับตัวตลอดเวลา

หลายปีที่ผ่านมาเอ็มเคกรุ๊ปเป็นผู้นำที่ไม่เคยหยุดเปลี่ยนแปลงตัวเอง เช่น ขยายเป็นแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งสุกี้ อาหารญี่ปุ่น อาหารไทย อาหารทะเล ฯลฯ ประมาณ 10 แบรนด์ รวมทั้งขยายไปต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว และมาเลเซีย 

ปี 2566 เอ็มเค เปลี่ยนโลโก้บริษัทสะท้อนถึงศักยภาพทางธุรกิจที่วางแผนแตกไลน์ออกไปนอกเหนือเครือร้านอาหาร แต่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมอาหารครบวงจร เช่น M-Senko Logistic ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบ One Stop Services for all Business ผู้ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ MK Wellness หรือ พัฒนาสินค้าขายช่องทางค้าปลีก อาทิ น้ำจิ้มสุกี้ MK แบบขวด สุกี้พร้อมปรุง “ชุดสุกี้ลูกชิ้นรวมมิตร” ขายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น

เป็นการขยับหนีสงครามร้านสุกี้ และเพื่อสร้างรายได้ใหม่ ๆ เข้ามา 

ตี๋น้อย เร่งสปีดตาม

การที่ สุกี้ตี๋น้อย ได้ เจมาร์ท เข้ามาร่วมทุนในสัดส่วน 30% เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ในเม็ดเงินลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท กลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการสร้างระบบต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ การสร้างพนักงาน และการขยายสาขา

และสปีดนี้กำลังถูกเร่งเครื่องอย่างเต็มที่ด้วยการวางแผนเข้าไปเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2568

ตามรอยผลประกอบการ  

เอ็มเค กรุ๊ป

ปี 2565 รายได้ 15,938 ล้านบาท กำไร 1,439 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 16,973 ล้านบาท กำไร 1,681 ล้านบาท

 สำหรับปี 2567 (9 เดือน) รายได้ 11,735 ล้านบาท กำไร 1,088 ล้านบาท

ตี๋น้อย

ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท

ปี 2566 รายได้ 5,244 ล้านบาท กำไร 913 ล้านบาท

ส่วนปี 2567 (9 เดือน) กำไร 890 ล้านบาท (ตัวเลขกำไร 890 ล้านบาท มาจากการที่เจมาร์ทรายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ได้ส่วนแบ่งกำไรจากสุกี้ตี๋น้อย 267 ล้านบาท (เจมาร์ทถือหุ้น 30%)   

วันนี้ยังไม่มีบทสรุป ว่าในที่สุดแบรนด์เล็กอย่างตี๋น้อยที่มีการขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว มีผลประกอบการที่โตขึ้นต่อเนื่อง จะไล่ทันยักษ์ใหญ่เอ็มเค ที่เร่งสปีดหนีได้หรือไม่ ใครจะเป็นผู้ครองบัลลังก์ ตลาดสุกี้ อย่างมั่นคงที่สุด  เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสิน

 

 

 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer