จากผลสำรวจการออมภาคครัวเรือนของไทยในไตรมาส 4 ปี 2559 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ภาคครัวเรือนของไทย 45.1% ออมในรูปแบบของเงินสด 38.7% ออมในรูปแบบของบัญชีเงินเดือน 20.3% ออมในรูปแบบของบัญชีการออม และ 13.0% ฝากในสหกรณ์ เล่นแชร์ และกองทุน ทำให้เห็นได้ชัดว่ากว่ากว่า 40% ของคนไทยยังคงออมเงินในรูปของเงินสด หรือมีการลงทุนเฉพาะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพียงเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาวได้

และเมื่อนำมาเปรียบเทียบผลตอบแทนของการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆในระยะเวลา 10 ปี พบว่าการลงทุนใน “หุ้น” สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 12.27% การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 4.80% และการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 2.48% เห็นได้ชัดเจนว่า การบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาวได้นั้น การลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนได้สูงที่สุด

กรุงศรีชีวิตดีเว่อร์ อาวุธหนักที่ทำให้การเงินถึงเป้าหมายได้เร็ว

ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า “จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง และเป็นตัวช่วยให้ไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้นแต่ผู้ลงทุนอาจมีความกังวลใจในเรื่องความเสี่ยง บลจ. กรุงศรี จึงได้เดินหน้าเปิดกองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดีเว่อร์ (KFGOOD) ซึ่งจะมาตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้อย่างดี เพราะนโยบายการลงทุนของกองทุน KFGOOD จะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น REITs กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในระดับไม่เกิน 50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทำให้เพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น สัดส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มความมั่นคงของเงินลงทุน”

ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุน KFGOOD คือความยืดหยุ่นในการจัดพอร์ตการลงทุน ในส่วนของหุ้นนั้นผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกหุ้นได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านขนาดและประเภทหุ้นที่สามารถลงทุนได้  ในภาวะที่ตลาด   ผันผวนหรือมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไม่สดใส ผู้จัดการกองทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ได้สูงถึง 100% ของ NAV เพื่อลดระดับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน กองทุน KFGOOD นี้ มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 5: (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน

เคล็ดลับการจัดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมแต่ละช่วงชีวิต

  1. วัยเริ่มทำงาน : มีรายรับทุกเดือน สามารถรับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงหุ้นได้ 100%
  2. วัยสะสมความมั่งคั่ง : มีรายรับหลายทาง และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนสมัยเริ่มทำงาน สามารถรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง ลงทุนในหุ้นได้ 75%
  3. วัยสร้างสินทรัพย์ : มีรายจ่ายเยอะขึ้นทั้ง ค่าบ้าน ค่ารถ และอื่นๆ สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางลงทุนในหุ้น 50%
  4. วัยก่อนเกษียณ : รายรับเริ่มลดลง แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง สามรถรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ ควรลงทุนในหุ้น 25%
  5. วัยเกษียน : ไม่มีรายได้ บางรายอาจมีบำนานหรือเงินเลี้ยงดูจากลูกหลาน สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรเน้นลงทุนในตราสารหนี้


 

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer