ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ในประเทศไทย เป็นตลาดที่เติบโตอย่างน่าสนใจ จากพฤติกรรมคนไทยเลี้ยงสัตว์เลี้ยงกันมากขึ้น และพร้อมให้ความรักประหนึ่งเหมือนลูกหลานที่พร้อมทุ่มเทเวลาและเม็ดเงินเพื่อให้ลูกน้อยสัตว์เลี้ยงที่แสนน่ารักมีสุขภาพที่แข็งแรงทุกช่วงอายุผ่านอาหารการกิน
ซึ่งในปีที่ผ่านมาอ้างอิงจาก KReserch พบว่ามูลค่าอาหารสัตว์เลี้ยงไทยในไทย มีการเติบโตมากกว่า 2 หลักต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 4 ปี ด้วยมูลค่าย้อนหลังดังนี้
ปี 2563 มูลค่า 18,000 ล้านบาท เติบโต 2.3%
ปี 2564 มูลค่า 21,300 ล้านบาท เติบโต18.3%
ปี 2565 มูลค่า 27,200 ล้านบาท เติบโต 27.7%
ปี 2566 มูลค่า 36,000 ล้านบาท เติบโต 32.4%
ปี 2567 มูลค่า 41,700 ล้านบาท เติบโต15.8%
และเป็นการเติบโตของจำนวนการบริโภคอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นต่อปีที่ไม่มากเท่าไรนัก จากข้อมูลที่ KReserch อ้างอิง Grand View Research พบว่า จำนวนการบริโภคอาหารสัตว์เลี้ยงในแต่ละปีมีดังนี้
ปี 2563 จำนวน 294,000 ตัน เติบโต 10.5%
ปี 2564 จำนวน 315,000 ตัน เติบโต 7.1%
ปี 2565 จำนวน 334,000 ตัน เติบโต 6.0%
ปี 2566 จำนวน 354,000 ตัน เติบโต 5.6%
ปี 2567 จำนวน 375,000 ตัน เติบโต 5.9%
และการมูลค่าการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยยังเติบโตสูงกว่าตลาดโลก
จากข้อมูล Statista พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าดังนี้
ปี 2563 มูลค่า 111,900 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.9 ล้านล้านบาท) เติบโต 13.5%
ปี 2564 มูลค่า 121,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.2 ล้านล้านบาท) เติบโต 8.2%
ปี 2565 มูลค่า 133,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.6 ล้านล้านบาท) เติบโต 10.4%
ปี 2566 มูลค่า 143,600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.0 ล้านล้านบาท) เติบโต 7.4%
ปี 2567 มูลค่า 151,100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.2 ล้านล้านบาท) เติบโต 5.2%
พร้อมกับการบริโภคของอาหารสัตว์เลี้ยงโลกต่อปี
ปี 2563 จำนวน 46.6 ล้านตัน เติบโต 6.9%
ปี 2564 จำนวน 47.4 ล้านตัน เติบโต 1.7%
ส่วนปี 2565 จำนวน 49.5 ล้านตัน เติบโต 4.5%
สำหรับปี 2566 จำนวน 51.4 ล้านตัน เติบโต 3.9%
และปี 2567 จำนวน 52.9 ล้านตัน เติบโต 2.8%

ซึ่งการเติบโตของ ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ในประเทศไทยที่มากกว่าตลาดโลกมาจาก
1. จากข้อมูลของ TGM Research พบว่าประเทศไทยมีอัตราเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสูงถึง 73% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่มีเพียง 58%
และอัตราการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจำนวน 1 ตัวต่อครอบครัว 45%
จำนวน 2 ตัว 23%
จำนวน 3 ตัว 8%
และ 4 ตัวขึ้นไป 24%
2. การเติบโตของกลุ่ม SINK (Single Income No Kid) และ DINK (Double Income No Kid) ในประเทศไทย และเทรนด์ Pet Parent ได้ผลักดันให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่เหมาะเฉพาะประเภทของสัตว์เลี้ยงมากขึ้นจากการมองเห็นคุณค่าอาหารทางโภชนาการที่เหมาะสม ที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพและลดค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและให้ความสำคัญกับอาหารเกรดแมส และพรีเมียมที่มีราคาสูง เช่น อาหารเปียก อาหารที่ไม่ผ่านความร้อน อาหารรูปแบบ Holistic ที่เน้นเรื่องการเลือกใช้วัตถุดิบ มีสัดส่วนโปรตีนจากเนื้อสัตว์สูง
ซึ่งในปี 2566 ข้อมูลจาก The 1 Insight และ CRC VoiceShare พบกว่าอาหารสัตว์กลุ่ม Holistic มีการเติบโตที่สูงขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2565
และอ้างอิงจาก TTB Analytics ยังพบกว่ากลุ่ม Pet Parent เป็นกลุ่มที่มีการจับจ่ายค่าอาหารและขนมให้กับสัตว์เลี้ยงมากถึงปีละ 22,500 บาทต่อตัว ซึ่งเป็นมูลค่าสูงกว่ากลุ่ม Pet Ownership ที่ใช้จ่ายกับค่าอาหารและขนมเพียง 5,545 บาทต่อปีเท่านั้น
3. ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงมีคู่แข่งในตลาดจากผู้เล่นรายเก่าและรายใหม่จำนวนมากกว่า 300 ราย ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดผ่านเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะคู่แข่งในกลุ่มแมสพรีเมียม และพรีเมียมเน้นขับเคลื่อนตลาดผ่านสูตรอาหารที่หลากหลายเพื่อผลักดันให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของอาหารผ่านวิธีการสื่อสารต่าง ๆ ทั้งโฆษณา การใช้อินฟลูเอนเซอร์ และอื่น ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสุขภาพในระยะยาวของสัตว์เลี้ยง
อย่างไรก็ดี ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงถือเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนขนาดใหญ่สุดของธุรกิจสัตว์เลี้ยงทั้งหมดที่มีมูลค่าสูงถึง 75,000 ล้านบาทในปี 2567 อ้างอิงจาก TTB Analytics
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
