บิ๊กโคล่า คัมแบ็คในรอบ 13 ปี ลุยทำการตลาด ขอกลับมาเป็นเบอร์ 3 น้ำอัดลมเมืองไทย
นับแต่ปี 2006 ที่บิ๊กโคล่ามาเปิดตัวในไทยและเป็นคู่ท้าชิงของโคคา-โคล่า และเป๊ปซี่ ครองตำแหน่งเบอร์ 3 น้ำอัดลมเมืองไทยด้วยมาร์เก็ตแชร์ 12% แต่การแอคทีฟทางการตลาดชะงักไปนานหลายปี
เนื่องจากหยุดไปพัฒนาระบบโรงงาน เพิ่มเครื่องจักร เพิ่มสายการผลิตใหม่ให้มีศักยภาพที่สามารถผลิตได้มากกว่าแค่น้ำอัดลม แต่ยังผลิตได้ทั้งชาและกาแฟทั้งแบบร้อน-เย็น แต่ตลาด Soft Drink มีการแข่งขันสูง เวลาเพียงไม่นานที่บิ๊กโคล่าหายไป ก็มีแบรนด์น้องใหม่เข้ามาแทนที่ ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลงเหลือเพียง 6%
ฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า (Mr. Juan Jose Lopez Vergara) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่บริษัทแม่ อาเจ กรุ๊ป ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยไทยถือเป็นประเทศแรกที่บริษัทขยายการลงทุนนอกลาตินอเมริกา และประสบความสำเร็จสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้
เมื่อเริ่มเปิดตัวบิ๊กโคล่าครั้งแรกผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างดี และบิ๊กโคล่าก็ไต่อันดับขึ้นเป็นแบรนด์ในใจผู้บริโภค แต่ในระหว่างที่หยุดทำการตลาดไป ยอดขายไม่ได้ลดลง เพียงแต่อัตราการเติบโตค่อนข้างทรงตัวเฉลี่ย 4.5% ต่อปี จนเมื่อประสบสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้รับผลกระทบหนัก และเพิ่งฟื้นกลับมาได้เมื่อสองปีก่อน ประกอบกับการเปลี่ยนตัวผู้บริหารคนใหม่ส่งผลให้การเติบโตในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 25% กวาดรายได้ไป 3,600 ล้านบาท
“ในแง่การรับรู้แบรนด์ บริษัทไม่ได้มองว่าบิ๊กโคล่าสูญเสีย Brand Awareness เพราะชื่อบิ๊กโคล่าถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยและนิยมอย่างแพร่หลายในไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงที่หายไปอาจทำให้การจดจำแง่ Top of mind brand หายไปเท่านั้น ดังนั้น การกลับมาลุยทำการตลาดใหม่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคนึกถึงแบรนด์เพิ่มขึ้นมากกว่า”
ลุยธุรกิจน่านน้ำใหม่ ลดความเสี่ยง
บริษัทมีแบรนด์ “บิ๊กโคล่า” เป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ขับเคลื่อนยอดขายมากกว่า 90% ของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด แต่การแข่งขันของตลาดน้ำอัดลมที่รุนแรง แต่กลับมี margin น้อยนั้น ทำให้บริษัทขยายไลน์เครื่องดื่มไปในหมวดหมู่ใหม่ ทั้งชาพร้อมดื่ม (แบรนด์ Big Tea), เครื่องดื่มชูกำลังอัดแก๊ส (แบรนด์ Volt) น้ำเปล่า (แบรนด์ Veda) และล่าสุดคือกาแฟพร้อมดื่ม ตลอดจนรุกน่านน้ำใหม่ กระโดดข้ามไปยังตลาดโฮมแคร์ของใช้ภายในบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเมื่อพึ่งพาสินค้าเพียงตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป
มิสเตอร์ฮวนเปิดเผยว่า ไทยเป็นประเทศพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของอาเจ กรุ๊ป ที่บริษัทมองเห็นศักยภาพในการเติบโตมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดโฮมแคร์ที่มีมูลค่ากว่า 800 ล้านดอลลาร์หรือราว 2.7 หมื่นล้านบาท
ทำให้บริษัทตัดสินใจลงทุนในธุรกิจใหม่กลุ่มโฮมแคร์ โดยสร้างโรงงานในไทยที่อมตะนคร ชลบุรี เมื่อแปดเดือนที่แล้ว เพื่อผลิตสินค้ากลุ่มโฮมแคร์ออกจำหน่ายในไทย ประเดิมด้วยสินค้าแรกคือ น้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ “Dest” ที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้
ซึ่งธุรกิจโฮมแคร์นี้ อาเจ กรุ๊ป ได้ดำเนินการและมีโรงงานในประเทศเปรูและเอกวาดอร์อยู่ก่อนแล้ว จึงขยายธุรกิจนี้มาไทยเป็นประเทศที่สาม เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพของตลาดโฮมแคร์ในไทยที่มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่มและน้ำยาซักผ้าเท่านั้น บริษัทยังมองไปถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ครอบคลุมตลาดโฮมแคร์อีกมากมาย คาดหวังสัดส่วนยอดขายที่ไม่ใช่บิ๊กโคล่าจะเพิ่มขึ้น 5-10%
กลยุทธ์ Sponsorship Marketing จับมือ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”
ด้านคุณชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ปลุกปั้น “บิ๊กโคล่า” ให้บูมขึ้นมาในไทย กล่าวว่า ในปีนี้บิ๊กโคล่าเตรียมทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท สำหรับรุกทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ Sponsorship Marketing คว้าเซ็นสัญญาเป็น Official Regional Partner กับสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” สโมสรแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาสัญญา 2 ปี ในการนำตราสัญลักษณ์สโมสร (CREST) นักฟุตบอล และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ มาทำกิจกรรมการตลาด เนื่องจากไทยมีฐาน Fan club Based ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แข็งแกร่งกว่า 5 ล้านคนในประเทศไทย
“กีฬาฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่คนไทยให้ความนิยมอันดับ 1 โดยเฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นลีกระดับโลกที่คนไทยชื่นชอบเป็นอันดับ 1 เช่นกัน ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างให้แบรนด์บิ๊กโคล่ากลับมาแข็งแรง และขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับแมนฯ ซิตี้ ที่ต้องการขยายฐานแฟนคลับ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในอาเซียนให้มากขึ้นด้วย”
การเป็น Official Regional Partner กับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการกลับมาทวงส่วนแบ่งตลาดในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมเมืองไทย
อัดแคมเปญการตลาด เสริมแกร่งช่องทางการจำหน่าย
ในปีนี้บริษัทจะกลับมาลุยโฟกัสการสร้างแบรนด์อย่างแข็งขัน เปิดกลยุทธ์การตลาดครบวงจร เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ บรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมกิจกรรมการตลาด อีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง และโปรโมชั่นแบบอัดแน่น รวมทั้งการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด การจัดกิจกรรมในทุกช่องทาง
พร้อมทั้งปรับรูปแบบการสื่อสาร สร้างทีมการตลาดดิจิทัลขึ้นใหม่และการผลิตสื่อโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น Gen Y และ Gen Z 
ปักธงรบขอกลับมาเป็นเบอร์สาม ตั้งเป้ารายได้ 4,200 ล้านบาท
สำหรับตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในไทยในปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท เติบโต 3% โดยการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทำให้ทุกแบรนด์ต้องปรับตัว และรุกทำตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องราคาและบรรจุภัณฑ์ มีการทำราคาที่ลดลงและมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กเพื่อให้สามารถแข่งขันในราคาที่ต่ำลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนารสชาติและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น
ปัจจุบันบิ๊กโคล่ามีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 6% หลังการกลับมารุกทำตลาดในครั้งนี้ บิ๊กโคล่า ตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 7% ในปีแรก และ 10% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เป็น 1 ใน 3 ผู้นำในตลาดน้ำอัดลมเมืองไทย
มิสเตอร์ฮวนกล่าวทิ้งท้ายว่า การจะขยับมาร์เก็ตแชร์ให้ขึ้นไป 1-2% ในตลาดนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง แต่การกลับมารุกตลาดในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูแบรนด์ และการสร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทยได้อย่างแน่นอน ตั้งเป้ากวาดรายได้ในไทยปี 2025 ที่ 125 ล้านดอลลาร์ ราว 4,200 ล้านบาท
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
