Life / การได้มากับรักษาไว้ให้อยู่ต่อไปนาน ๆ อย่างหลังอาจยากกว่า โดยตรรกะดังกล่าวสามารถใช้ได้กว้างขวาง ไล่ตั้งแต่การครองความเป็นหนึ่งในโลกธุรกิจ ไปจนถึงการประคับประคองความสัมพันธ์และครองรักให้อยู่คู่กันไปจนแก่เฒ่า

หนึ่งในเคล็ดลับที่คู่รักตัวอย่างใช้กันมาทุกสมัย คือการไม่พูดให้ร้ายหรือปลุกปั่นชักใยให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่าเป็นคนผิด ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Gaslighting

Gaslighting เป็นที่สนใจมากขึ้นหลังพจนานุกรม Marriam-Webster ยกให้เป็นคำแห่งปีของปี 2022 พอปีต่อมาในไทยเกิดกรณี Gaslighting ที่ “กูรูสายวิทย์” ถูกเปิดโปงพฤติกรรมไม่เหมาะสมผ่านสื่อโซเชียล

และปี 2025 วง Stoondio ของไทยก็ยังทำเพลง Gaslighting ออกมาเพื่อเตือนเรื่องการพูดหรือทำตัวเป็นพิษที่กระทบต่อความสัมพันธ์อีก

เกรซ ลี ที่ปรึกษาเรื่องการสานสัมพันธ์และออกเดตชาวอเมริกัน ได้ออกมาย้ำอีกครั้งว่า Gaslighting เป็นพฤติกรรมควรเลี่ยง โดยเพื่อไม่ให้กลายเป็น Gaslighter ตัวร้ายทำลายความสัมพันธ์ และช่วยให้ครองรักกันไปนาน ๆ เกรซ ลี แนะนำว่าควรเลี่ยง 3 ประโยคต่อไปนี้ 

 

“ก็แค่อยากช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้นมาบ้าง”: ประโยค Gaslighting แรกสุดที่ควรเลี่ยงเลยโดยเฉพาะถ้าเป็นคู่รักกันคือ “ก็แค่อยากช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้นมาบ้าง” เพราะเป็นการปัดความผิดของตนไปให้พ้นตัว และทำให้เหมือนสิ่งที่ทำลงไปคือความปรารถนาดี แม้ดูแรง ๆ ไปบ้าง

เกรซ ลี กล่าวว่านี่คือประโยค Gaslighting อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหลอกล่อหรือชักใยให้อีกฝ่ายต้องหันกลับมามองตัวเอง ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นฝ่ายผิด และฝ่ายที่พูดประโยคแบบนี้ออกมาต้องสลดต่อสิ่งที่ทำลงไปและเป็นฝ่ายขอโทษ

“อย่าอ่อนไหวเกินไปสิ”: ประโยคต่อมาที่ไม่ควรหลุดปากพูดไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวคือ “อย่าอ่อนไหวเกินไปสิ” เพราะเป็นการโทษว่าเป็นความผิดอีกฝ่าย ที่คิดเล็กคิดน้อยหรือหวั่นไหวไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เกรซ ลี กล่าวว่า นี่เป็นอีกประโยคที่เป็นพิษต่อความสัมพันธ์ และส่งสัญญาณการคุกคาม เพราะโยนให้อีกฝ่ายตั้งคำถามกับตัวเอง

ดังนั้น แต่ละฝ่ายจึงไม่ควรพูดประโยคนี้ใส่กัน โดยสิ่งที่ควรทำคือพูดกันด้วยเหตุด้วยผล และปลอบโยนอย่างจริงใจ

“แค่นี้ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วย”: ประโยคสุดท้ายที่คู่รัก รวมไปถึงเพื่อนสนิทควรเลี่ยงพูดกันคือ “แค่นี้ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วย” เพราะทำให้คู่สนทนาเกิดความลังเล ไม่ปลอดภัย นี่จึงเป็น Gasligjting อย่างชัดเจน

เกรซ ลี กล่าวว่า จุดประสงค์แอบแฝงของคนที่พูดประโยคลักษณะนี้ คือการควบคุมอีกฝ่าย แก้ตัว ซื้อเวลา ลดอุณหภูมิอารมณ์จนอีกฝ่ายหายโกรธ หลงเข้าใจไปว่าเป็นคนผิด และต้องพึ่งคู่สนทนาให้เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ ♦/cnbc


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer