ปัญหาระดับโลกของหญิงสาวหรือคนผมยาวรู้ดีว่า ผมมัดแน่นไปจะปวดหัว แต่ถ้าหลวมไปก็หลุด แถมพอถอดหนังยางออกมาผมก็เป็นรอยหยัก เสียทรง แต่จะไม่มัดก็ไม่ได้อีก

แต่แล้วการมาของหนังยางม้วนเกลียวก็ช่วยชีวิตชาวโลกไว้

“invisibobble” แบรนด์หนังยางที่ตอบโจทย์ Painpoint ของหญิงสาว แม้ราคาแพงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ แต่คนก็ยังหาซื้อมาใช้โดยไม่เสียดายเงิน เพื่อจบปัญหาโลกแตกนี่เสียที จนทำให้มียอดขายทะลุ 724 ล้านบาท ขายได้นับร้อยล้านชิ้น

แต่รู้หรือไม่ว่า. . .ธุรกิจรายได้เจ็ดร้อยกว่าล้านบาทนี้

เกิดมาจากความบังเอิญและความเมา

Sophie Trelles-Tvede นักศึกษาชาวเดนมาร์ก ที่กำลังเร่งรีบไปงานปาร์ตี้ ด้วยความรีบจึงหยิบเอาสายโทรศัพท์บ้านเก่า ๆ มารัดผม พอกลับบ้านมาก็เมาแอ๋ ผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น เมื่อตื่นมาเธอสังเกตว่าตัวเองเผลอหลับไปทั้งที่ยังไม่แกะหนังยาง แต่กลับไม่ปวดหัว จึงปิ๊งเป็นไอเดียทำหนังยางที่เหมือนสายโทรศัพท์ขึ้นมา โซฟีรีบยกหูโทรหา เฟลิกซ์ ฮาฟฟา แฟนหนุ่มซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ

โซฟีและแฟนหนุ่มใช้เงินในการก่อตั้งธุรกิจ 4,000 เหรียญ ทั้งสร้างเว็บไซต์ Shopify, Photoshop และนำไปจ่ายคำสั่งซื้อครั้งแรก โดยได้พันธมิตรผู้ผลิตเป็นโรงงานในประเทศจีน พวกเธอขอให้ผู้ผลิตนำสายโทรศัพท์มาลอกสายออกและบัดกรีให้เป็นทรงกลม เพราะสายโทรศัพท์มีความยืดหยุ่น แรงรัดไม่แน่นจนเกินไป เมื่อยืดออกลักษณะจะเหมือนหวีที่ยึดเกาะบนผม ทำให้ผมไม่เป็นรอยหักเวลามัดนาน ๆ

แต่สายโทรศัพท์ก็มีข้อเสียตรงที่เมื่อยืดออกแล้วจะหดตัวกลับแบบเดิมยาก  โซเฟียจึงต้องพัฒนาโปรดักส์ จนได้ออกมาเป็นหนังยางที่เมื่อถูกน้ำอุ่นจะหดกลับคืนได้ เกิดเป็นแบรนด์ invisibobble เปิดตัวในปี 2012 ด้วยคอนเซ็ปต์หนังยางรัดผมที่ไม่ทิ้งรอยบนผม ดำเนินกิจการเป็นแบรนด์อุปกรณ์ดูแลเส้นผมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งตอนนั้นพวกเขามีอายุเพียง 18 ปี

ยางรัดผมแบบเกลียว 3 ชิ้น ถูกบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์โปร่งใส จำหน่ายในราคากล่องละ 5 ปอนด์ หรือราว 200 บาท

เริ่มขายผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์ รวมถึงขายให้กับช่างทำผม ยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วจน Invisibobble ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้ในเวลาเพียงหนึ่งปี  ในปี 2013 บริษัทได้จับมือกับผู้จัดจำหน่ายทั่วโลก และเริ่มส่งสินค้าไปจำหน่ายต่างแดน 12 ประเทศ

จากไอเดียที่ใครก็หัวเราะเยาะว่าจะทำเป็นธุรกิจได้จริงหรือ 

แต่ทำให้โซฟีและเฟลิกซ์ติดทำเนียบนักธุรกิจอายุน้อยของ Forbes

ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจผู้คนงุนงงกับไอเดียนี้ว่า มันเป็นแค่หนังยางรัดผม จะสร้างเป็นธุรกิจได้อย่างไร แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับตอบคำถามทุกคนได้อย่างดีโดยที่โซฟีไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์อะไร  เพราะเมื่อปี 2014 ซึ่งเป็นปีที่โซฟีจบการศึกษา แบรนด์ Invisibobble นี้ก็มียอดขายประจำปีมากกว่า 6 ล้านยูโร หรือ 220 ล้านบาท

และจากนั้นปี 2016 โซฟีและเฟลิกซ์ ก็ถูกจัดอันดับอยู่ในรายชื่อผู้ประกอบการด้านการค้าปลีกในยุโรปที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี จากนิตยสาร Forbes เป็นนักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้านทันที

เผชิญการลอกเลียนแบบ

แน่นอนว่ายางรัดผมที่ดูไม่ได้มีอะไรพิเศษเช่นนี้ คนที่มองเห็นโอกาสจึงอยากมีส่วนร่วมในยอดขายที่มหาศาลนั้นเช่นกัน พวกเขาเลียนแบบ Invisibobble ออกมาจำหน่ายหลายต่อหลายครั้ง ทั้งมีแบรนด์และ non-brand และจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่ามาก

ทำให้โซฟีต้องเปลี่ยนแนวทางลงรายละเอียดในโปรดักส์มากขึ้น ความแตกต่างของ Invisibobble กับแบรนด์อื่น ๆ คือ วัสดุที่นำมาใช้คือโพลียูรีเทนทั้งเส้น ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด และจงใจตั้งราคาที่สูง เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าในสินค้าและมีส่วนช่วยรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในสังคม เพราะถ้าขายถูก คนก็ซื้อกันกระหน่ำ ใช้บ้างทิ้งบ้างเกิดเป็นขยะฟาสต์แฟชั่นสร้างมลภาวะ

ปัจจุบันมีผู้ติดตามแบรนด์ Invisibobble  บน Instagram มากกว่า 161,000 คนแล้ว โซฟีเพิ่งใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนี้เพื่อพูดถึงแนวทางการทำงานตั้งแต่ปี 2018

ความสำเร็จที่เกินคาด

ปัจจุบัน Invisibobble ได้ขยายไลน์โปรดักส์ไปสู่ Invisibobble Power, Invisibobble Nano และ Invisibobble Multiband

วางจำหน่ายในร้านค้ามากกว่า 100,000 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะที่ CVS, Walgreens และ Sephora ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทในสหรัฐอเมริกา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปแล้ว 100 ล้านชิ้นในเวลาไม่ถึงทศวรรษ 

ปีล่าสุดที่มีผลประกอบการเผยแพร่ออกมา พบว่า Invisibobble มียอดขาย 21.7 ล้านดอลลาร์ ราว 724 ล้านบาท


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer