21 เมษายน 2025 สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทุ่มตลาด (Antidumping duty–AD) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty-CVD) ขั้นสุดท้าย สำหรับแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนจากไทยในระดับที่สูงกว่าอัตราเรียกเก็บขั้นต้นค่อนข้างมาก

สาเหตุที่ไทยโดนเรียกเก็บภาษี AD/CVD มีที่มาจากการที่ในช่วงปี 2015-2023 ไทยมีการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 89 ล้านดอลลาร์ในปี 2015 มาอยู่ที่ 4,277 ล้านดอลลาร์ ในปี 2023 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 47 เท่าภายในระยะเวลาเพียง 8 ปี

ซึ่งการส่งออกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดดังกล่าวเป็นผลมาจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการในจีนมายังไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) (รูป 1) ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตว่าไทยอาจเป็น “ช่องทางหลบเลี่ยงภาษี” ของจีน

ส่งผลให้ไทยถูกร้องเรียนว่ามีการทุ่มตลาดสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ได้เริ่มไต่สวนการทุ่มตลาดของไทย ควบคู่ไปกับการไต่สวนมาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 ซึ่งในวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้มีการประกาศอัตราเรียกเก็บภาษี AD ขั้นสุดท้ายจากบริษัทผู้ผลิตโซลาร์ในไทยที่ 111.45%-172.68% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากอัตราเรียกเก็บขั้นต้นที่ประกาศไว้ที่ 57.66%-154.68% ในเดือนพฤศจิกายน 2024

ยิ่งไปกว่านั้น อัตราเรียกเก็บภาษี CVD ขั้นสุดท้ายอยู่ที่ 263.74%-799.55% ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากอัตราเรียกเก็บขั้นต้นที่ประกาศไว้เพียง 0.14%-34.52% เมื่อเดือนตุลาคม 2024 ส่งผลให้การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนจากไทยไปสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับกำแพงภาษีรวมในระดับสูงที่ 375.19%-972.23%

โดยบริษัท ทรินา โซลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษี AD และ CVD ที่อัตรา 375.19% จากที่เคยถูกเรียกเก็บเพียง 77.99%  ในขณะที่บริษัท ซันไชน์ อิเลคทริคอล และไท่ฮั้ว นิว เอ็นเนอร์ยี จะถูกเรียกเก็บภาษี AD และ CVD ที่อัตรา 972.23% จากที่เคยถูกเรียกเก็บเพียง 189.20% ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุชื่อเจาะจง จะถูกเรียกเก็บ AD และ CVD ที่อัตรา 375.19% จากที่เคยถูกเรียกเก็บเพียง 80.72% (รูปที่ 2)

 

 

การถูกเรียกเก็บ AD/CVD จากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงดังกล่าวจะกระทบต่ออุตสาหกรรมส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทยอย่างรุนแรง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนที่สำคัญของไทย

โดยในปี 2024 ไทยมีมูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนไปยังสหรัฐฯ 85,020 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 89.6% ของมูลค่าการส่งออกในหมวดนี้ทั้งหมด ซึ่งในปี 2024 ไทยมีผู้ส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ไปสหรัฐฯ ทั้งหมด 16 ราย

โดย ซันไชน์ อิเลคทริคอล ซึ่งโดนกำแพงภาษี 972.23% มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของไทย ในขณะที่ผู้ส่งออกชิ้นส่วนแผงโซลาร์เซลล์ไปสหรัฐฯ ในปี 2024 มีอยู่ทั้งหมด 9 ราย โดย ซันไชน์ อิเลคทริคอล มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ มากที่สุดเป็นอันดับ 7 ของไทย (รูปที่ 2)

 

SCB EIC ประเมินการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนของไทยไปสหรัฐฯ มีแนวโน้มหดตัวใกล้ศูนย์ในช่วงปี 2026 จากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ

โดยหากคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันอัตราเรียกเก็บ AD และ CVD ขั้นสุดท้ายตามที่ประกาศ ในวันที่ 6 มิถุนายน 2025 การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนของไทยไปสหรัฐฯ จะหดตัวลงรุนแรงต่อเนื่องจนใกล้เป็นศูนย์ภายในปี 2026 จาก 2 เหตุผลสำคัญดังต่อไปนี้

1. ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับประเทศผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนอื่น ๆ ในเอเชีย ได้แก่ ลาว, อินโดนีเซีย, อินเดีย และเกาหลีใต้ ที่ล้วนเป็นคู่แข่งขันกับไทยและไม่โดนเรียกเก็บภาษี AD/CVD เนื่องจากไม่โดนข้อกล่าวหาว่ามีการอุดหนุนการผลิตและประกอบชิ้นส่วนจากจีนเพื่อส่งออก

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาอัตราภาษีต่ำสุดจากมาตรการ AD และ CVD จะพบว่า ไทยจะเสียเปรียบมาเลเซียและเวียดนามค่อนข้างมาก โดยมาเลเซียและเวียดนาม ถูกเรียกเก็บอัตราภาษีต่ำสุดที่ 64% และ 120.69% ต่างจากไทยที่อัตราภาษีต่ำสุดจะอยู่ที่ 375.19%

ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาอัตราภาษีขั้นปลายสำหรับบริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีการระบุชื่อแบบเจาะจง พบว่าประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีสูงกว่ามาเลเซียค่อนข้างมาก โดยมาเลเซียถูกเรียกเก็บที่ 34.41% ในขณะที่ไทยถูกเรียกเก็บที่ 375.19% (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1: อัตราภาษี AD/CVD ที่สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บจากผู้ส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนจากประเทศกลุ่มเอเชียที่เป็นคู่แข่งขันสำคัญ

 

กรณี ประเทศ อัตราภาษี AD/CVD ขั้นสุดท้าย
(ต่ำสุด/บริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุชื่อ)
อัตราภาษี AD/CVD ขั้นสุดท้าย (สูงสุด)
โดนAD/CVD กัมพูชา 651.85% / 651.85% 3,521.14%
เวียดนาม 120.69% / 395.85% 813.92%
ไทย 375.19% / 375.19% 972.23%
มาเลเซีย 14.64% / 34.41% 250.04%
ไม่โดนAD/CVD ลาว
อินโดนีเซีย
อินเดีย
เกาหลีใต้

ที่มา: การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูล Executive orders ของ The White House และข้อมูลของ ITA (USA)

 

2. มีหลักฐานชัดเจนว่า อัตราภาษีขั้นต้นจากมาตรการ AD และ CVD ที่ไทยถูกเรียกเก็บมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ไทยสูญเสียตลาดแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนในสหรัฐฯ อย่างรุนแรง

โดยประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ใน SEA ถูกเรียกเก็บภาษี CVD มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 และภาษี AD มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งเมื่อดูผลที่เกิดขึ้นจากการเก็บภาษี AD และ CVD

ขั้นต้น จะพบว่าไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ อย่างชัดเจน สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดแผงโซลาร์เซลล์ของไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2025 ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 6% จาก 28% ในช่วงเดียวกันของปี 2024 (รูปที่ 3)

ต่างจากประเทศคู่แข่งขันอย่างลาว อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่ส่วนแบ่งตลาดเติบโตอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ส่วนแบ่งตลาดของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นจาก 2% ในช่วงเดือนแรกของปี 2024 มาอยู่ที่ 16% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2025 จากการได้รับอานิสงส์เชิงบวกของการเป็นประเทศที่มีต้นทุนการนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าประเทศอื่น และส่งผลให้สหรัฐฯ หันไปเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าในประเทศเหล่านี้มากขึ้นแทนประเทศไทยและประเทศในกลุ่ม SEA

โดยส่วนแบ่งตลาดที่ลดลงดังกล่าว ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปี 2025 มูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนไปสหรัฐฯ หดตัวสูงถึง 52%YOY จาก 26,369 ล้านบาท มาอยู่ที่ 12,623 ล้านบาท

ดังนั้น อัตราภาษี AD และ CVD ของไทยขั้นสุดท้ายที่อยู่ในอัตราที่สูงกว่าอัตราขั้นต้นอย่างมหาศาลจึงมีแนวโน้มที่จะทำให้การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนของไทยไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มหดตัวเข้าใกล้ศูนย์ภายในปี 2026

 

 

SCB EIC มองว่าผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนมีทางเลือกเชิงกลยุทธ์ในการปรับตัวเพื่อบรรเทาผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ อย่างน้อย 3 ด้าน  

1) การเข้าไปเป็น Supplier สินค้าขั้นกลางให้กับโรงงานผลิตโซลาร์เซลล์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ ในระดับต่ำ ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการที่แต่เดิมส่งแผงโซลาร์เซลล์ไปสหรัฐฯ โดยใช้วัตถุดิบจากจีน อาจปรับเป็นการส่งออกชิ้นส่วนโซลาร์เซลล์ ที่ผลิตจากวัตถุดิบในไทยหรือนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศที่ไม่มีปัญหาด้านการค้ากับสหรัฐฯ ไปยังประเทศอินเดียซึ่งยังขาดชิ้นส่วนประกอบกลางน้ำเพื่อประกอบเป็นแผงโซลาร์เซลล์ เป็นต้น

2) การเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่มีศักยภาพการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่โดดเด่น อาทิ อินเดีย ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง กลุ่มทวีปยุโรปและออสเตรเลียที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศ

3) การขยายรายได้ไปในธุรกิจผลิตพลังงานสะอาดทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยอาศัยความได้เปรียบเชิงต้นทุนและประสบการณ์ในกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อขยายรายได้จากการผลิตไฟฟ้าสะอาดที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต อาทิ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งแบบติดตั้งบนพื้นและแบบรูฟทอป (Solar rooftop)

ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรพิจารณาปรับเกณฑ์ในการส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุนด้วย

เนื่องจากการที่ไทยถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีโซลาร์เซลล์ในระดับสูง เป็นตัวอย่างชัดเจนที่สะท้อนให้เห็นว่าการมุ่งส่งเสริมการลงทุนอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้มีการเตรียมมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุน จะส่งผลเสียต่อไทย

ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องมีการทบทวนแนวทางการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนและกระบวนการตรวจสอบโรงงานที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยให้ดำเนินการตามกฎระเบียบการส่งเสริมการลงทุนของไทย กฎระเบียบการค้าของโลกและประเทศคู่ค้า

เช่น ต้องมีการใช้ปัจจัยการผลิต วัตถุดิบและห่วงโซ่อุปทานการผลิตของไทย เป็นต้น เพื่อให้เท่าทันบริบทการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากการเป็นฐานผลิตทางอ้อมให้กับประเทศคู่ขัดแย้งทางการค้า เช่น การติดตามโครงการที่อาจถูกมองว่าเป็น “ฐานการผลิตทางอ้อม” ของประเทศคู่ขัดแย้ง เช่น จีน เพื่อให้สามารถตรวจสอบการผลิตสินค้าให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุนของไทยและกฎระเบียบการค้าของประเทศคู่ขัดแย้ง ซึ่งจะช่วยป้องกันการนำไปสู่การตกเป็นเป้าของมาตรการกีดกันทางการค้าในอนาคต และจะช่วยให้ไทยไม่ตกเป็นเป้าของมาตรการทางการค้าในลักษณะนี้อีก

กล่าวโดยสรุป มาตรการภาษีตอบโต้ทุ่มตลาด (AD) และการอุดหนุน (CVD) ของสหรัฐฯ ที่กำหนดอัตราภาษีรวมสูงถึง 375% – 972% สำหรับแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนจากไทย ถือเป็นหนึ่งในกำแพงการค้าที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และมีแนวโน้มส่งผลให้การส่งออกสินค้ากลุ่มนี้จากไทยไปสหรัฐฯ หดตัวเกือบทั้งหมดภายในปี 2026 อย่างไรก็ตาม แม้มาตรการจากสหรัฐฯ ครั้งนี้อาจ “ปิดประตู” ในตลาดหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ “เปิดทาง” ให้ไทยต้องเริ่มต้นใหม่อย่างรอบคอบและยั่งยืนยิ่งขึ้นในเวทีโลก


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer