สุกี้ตี๋น้อย ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกรัก” ที่สร้างรายได้ให้กับเจมาร์ท หรือบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จากผลกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เจมาร์ททุ่มงบลงทุน 1,200 ล้านบาท เข้าไปถือหุ้น 30% ในธุรกิจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา

ซึ่งการลงทุนในสุกี้ตี๋น้อยถือเป็นการร่วมทุนที่คุ้มค่าที่สุดเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ที่เจมาร์ทร่วมทุนทั้งหมด

โดยในไตรมาส 1/2568 เจมาร์ทรับรู้รายได้จากการร่วมทุนคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 119.8 ล้านลาท เพิ่มขึ้น 133.1% จากช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา

การเพิ่มขึ้นนี้มาจากส่วนแบ่ง 30% ของผลกำไรสุกี๋ตี๋น้อยเป็นหลัก ด้วยส่วนแบ่งรายได้มากถึง 79 ล้านบาท จากผลกำไรที่ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์สุกี้ตี๋น้อยทำได้ 271 ล้านบาท

และเป็นส่วนแบ่งกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี นับจากที่เจมาร์ทเข้าร่วมทุน

ปี 2565 เพียง 2 เดือน ที่เจมาร์ท ร่วมทุนในสุกี้ตี๋น้อย มีส่วนแบ่งรายได้จากผลกำไรกลับมา 19 ล้านบาท จากผลกำไรตลอดทั้งปี 591 ล้านบาท

ปี 2566 ได้ส่วนแบ่ง 274 ล้านบาท จากผลกำไร 913 ล้านบาท

และปี 2567 ส่วนแบ่ง 351ล้านบาท จากผลกำไร 1,169 ล้านบาท

ด้วยการเติบโตของผลกำไรของสุกี้ตี๋น้อย ในวันนี้เจมาร์ทได้รับรายได้กลับมาจากลงทุนรวมกันมากถึง 723 ล้านบาท จากเม็ดเงินที่ลงทุนไป 1,200 ล้านบาท

และเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่กี่ปีเจมาร์ทจะได้รับเงินตอบแทนมากกว่าเม็ดเงินที่ลงทุนไปแน่นอน

สิ่งที่ทำให้สุกี้ตี๋น้อยประสบความสำเร็จนอกจากรสชาติ และบิสิเนสโมเดลบุฟเฟต์ จนกลายเป็นลูกรักขอเจมาร์ท ในฐานะผู้ร่วมทุนมาจาก

1. การเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 05.00 น. ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่นอนดึก หรือลูกค้าที่เลิกงานดึก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักมีตัวเลือกในการรับประทานอาหารจำกัดในช่วงเวลาดังกล่าว

พร้อมกับสร้างสีสันทางการตลาดผ่านแคมเปญเมนูใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ และกระตุ้นความถี่ในการมาใช้บริการของลูกค้าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคมที่ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย

 เช่น

กิจกรรม แจกฟรีแตงโม ที่หมุนเวียนไปยังแต่ละสาขา ไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า แต่ยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาแตงโมราคาตกต่ำ

จัดกิจกรรมนวดหน้าร้านจากผู้พิการทางสายตา จำหน่ายสินค้า Handmade จากผู้พิการในบางสาขา เป็นต้น

2. ขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี เข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ ๆ โดยเฉพาะต่างจังหวัด ในทำเลที่มีศักยภาพสูง รวมถึงการขยายโอกาสด้วยการเปิด Teenoi BBQ เข้าถึงกลุ่มปิ้งย่าง และ Teenoi Express จับกลุ่มบุฟเฟต์พรีเมียม

ในปี 2565 ปีแรกที่เจมาร์ทร่วมทุน สุกี้ตี๋น้อยมีสาขาเพียง 43 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ปี 2566 มีสาขา 55 สาขา จากสาขาที่เปิดใหม่ 13 สาขา พร้อมกับขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด เช่น ชลบุรี สุพรรณบุรี นครราชสีมา

ปี 2567 เพิ่มสาขาเป็น 78 สาขา เน้นขยายไปยังต่างจังหวัด เช่น มหาสารคาม อุดรธานี เชียงใหม่ รวมถึงเปิด Teenoi BBQ 1 สาขา และ Teenoi Express 1 สาขาเพื่อทดลองตลาด

ไตรมาส 1/2568 เปิดสาขาเพิ่ม 4 สาขา เน้นไปยังสาขาต่างจังหวัดทั้งหมด

พร้อมแผนเกิด Teenoi BBQ เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับสุกี้อีกในอนาคต

 

3. จับมือกับ Shopee เปิดรับชำระเงินผ่านบริการ SPayLater ภายใต้แนวคิด กินตี๋น้อยก่อน ผ่อนทีหลัง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีภาระค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้น ให้สามารถเข้ามารับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินสดในทันที ช่วยกระตุ้นความถี่ในการมารับประทานของลูกค้า แม้ในช่วงที่ประสบปัญหาทางการเงิน

4. สร้างโอกาสใหม่ ๆ จากการเข้าสู่ธุรกิจ Ready to Cook ด้วยการเปิดตัวเมนูชุดผักสุกี้ ตี๋น้อย เข้าถึงตลาดพร้อมปรุงผ่านการจับมือกับโลตัส – แม็คโคร และการพัฒนาน้ำจิ้มบรรจุขวดออกจำหน่าย เพื่อพาแบรนด์เข้าไปอยู่ในบ้านหรือในโมเมนต์ของลูกค้าเมื่อต้องการรับประทานสุกี้เพิ่มขึ้น

 

5. จับมือกับพาร์ตเนอร์ที่หลากหลาย สร้างแบรนด์ผ่านพลังของพาร์ตเนอร์ เช่น การจับมือกับเถ้าแก่น้อย ออกสาหร่ายทอดรสน้ำจิ้มสุกี้, สาหร่ายทอดรสน้ำดำ

ร่วมมือกับโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์ แจกคูปองส่วนลดแทนเงินสด, จับมือแบรนด์ Dance แจก Dance Body & Hair เป็นต้น

 

อย่างไรก็ดี การเติบโตของ สุกี้ตี๋น้อย ถือเป็นการเติบโตบนการแข่งขันของการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น จากคู่แข่งอย่างลัคกี้ สุกี้ ที่เข้ามาเป็นคู่แข่งของตี๋น้อยในกลยุทธ์การตั้งราคาที่ไม่แตกต่าง ด้วยการวางเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 16 -20 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองที่มีศักยภาพ ในรูปแบบสุกี้ และ BBQ

รวมถึงการปรับตัวของ MK สุกี้ระดับพรีเมียม ที่ลงเล่นสงครามสุกี้ในปี 2568 หลัง  Gen 2 อย่างทานตะวัน-ธีร์  ธีระโกเมน เข้ามาบริหาร เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นคนรุ่นใหม่ และเข้าถึงง่ายขึ้น ผ่านจุดเด่นแบรนด์สุกี้ระดับพรีเมียมที่อยู่ในตลาดอย่างยาวนาน ที่สามารถให้บริการลูกค้าในรูปแบบ A la carte ที่ตี๋น้อยไม่มี

เพราะตลาดสุกี้ 23,000-25,000 ล้านบาท เป็นตลาดที่ใคร ๆ ก็อยากจับจอง

อัปเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
WebsiteMarketeeronline.co / Facebookwww.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer