บทความนี้ขอพูดสามเรื่องคือ Head, Heart and Habit สามองค์ประกอบที่สำคัญมากๆ ของคนที่อยากประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว

 

Head

Florence, Italy

Leonardo da Vinci ในวัย 14 ได้ทำงานกับศิลปินและวิศวกร ชื่อ Andrea del Verrocchio ที่นี่เขาฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก Leonardo ได้ทักษะความเข้าใจเรื่อง เรขาคณิต, ทัศนมิติ และวิธีการวาดเงา รวมถึงพื้นฐานอื่นๆ ของการวาดภาพที่ดี

เมื่ออายุได้ 20 ปี ไม่เพียงแค่เขาได้เป็น Master Painter แต่ยังมีความสามารถเกินหน้าอาจารย์ไปอีกด้วย จะเห็นได้ชัดที่สุดจากงานชื่อ The Baptism of Christ ซึ่งทั้ง da Vinci  และ Verrocchio ได้ร่วมวาดภาพด้วยกัน

ในภาพมีเทวดาอยู่สององค์ที่อยู่ข้างๆพระเยซู เทวดาที่วาดโดย Verrocchio นั้น ดูแข็งทื่อและไม่มีชีวิตชีวา ตรงส่วนที่เป็นเส้นผมก็ดูตรงๆ แข็งๆ

แต่เทวดาของ Leonardo นั้น ดูมีชีวิตชีวา ดวงตาเปล่งประกาย ลายเส้นดูเป็นธรรมชาติมากๆ โดยเขาใช้เทคนิคที่เรียกว่า sfumato ซึ่งทำให้ลายเส้นดูอ่อนช้อยและทำให้การเปลี่ยนส่วนประกอบของภาพอย่างเช่นส่วนของเส้นผมไปยังหน้าผากดูเป็นธรรมชาติ Leonardo คิดว่า stumato เป็นวิธีการที่คนเราแปลความ/ตีความภาพของสิ่งของที่เห็น

ในภายหลัง Leonardo da Vinci มีชื่อเสียงอย่างมากจากการใช้เทคนิคนี้วาดภาพ

แม้ว่า Leonardo จะเป็นคนที่มีความสามารถมาก แต่เขาก็ยังแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ วิธีการหนึ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ คือ เขาเป็นคนที่ชอบหาความรู้ใหม่ๆ ด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นๆ

ยกตัวอย่างเช่น แม้ Leonardo เองนั้นมีความสามารถด้าน “เรขาคณิต” อย่างมาก แต่ความสามารถทางคณิตศาตร์ในสาขาอื่นของเขานั้นยังไม่ดีนัก

เมื่อได้มีโอกาสใกล้ชิดกับนักคณิตศาสตร์มากความสามารถอย่าง Luca Pacioli เขาก็ไม่พลาดโอกาสในการเพิ่มความรู้ด้าน “เลขคณิต” เพิ่มเติม ซึ่งภายหลังได้ถูกนำมาใช้อย่างมากในงานของเขา

Leonardo ยังชอบที่จะใช้เวลากับสถาปนิกอีกด้วย โดยเฉพาะ Donato Bramante และ Francesco di Giorgio ซึ่งพวกเขาชอบใช้เวลาในการคุยถึง Vitruvius ซึ่งเป็นชาวโรมันในยุคประมาณหนึ่ง
ศตวรรตก่อนคริสต์กาล ซึ่งเป็นผู้เขียนตำราทางสถาปนิก De architectura อันโด่งดัง

Vitruvius เชื่อว่า อาคารนั้นควรออกแบบตามหลักการทางสรีรวิทยาของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การออกแบบโบถส์ควรมีระยะทางจากจุดศูนย์กลางที่เป็นอัตราส่วนสมมาตรกัน ทั้งจากด้านหน้าหลัง และด้านข้าง  เฉกเช่นเดียวกับ ร่างกายของมนุษย์ที่มีระยะจากสะดือ ไปศีรษะ ปลายแขน และปลายขา สมมาตรกัน

ไอเดียนี้โดนใจ Leonardo มาก มันเป็นแรงพลักดันทำให้เขาได้ศึกษาเรื่องอัตราส่วนทางกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ และเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ ในธรรมชาติ

การพูดคุยและศึกษาเหล่านี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของภาพที่โด่งดังที่สุดภาพหนึ่งของ Leonardo da Vinci นั้นก็คือ Vitruvian Man

ความสนใจเรื่องกายวิภาคศาสตร์ของ Leonardo ยังไม่จบแค่นี้ เขาเคยได้มีโอกาสศึกษาศพมนุษย์กว่า 20  ศพ และวาดภาพของกระดูกทุกชิ้น กล้ามเนื้อและอวัยวะของมนุษย์ออกมาได้อย่างสวยงามที่สุด

เขามีภาพวาดเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์กว่า 240 ภาพ ซึ่งมีรายละเอียดของอวัยวะต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ หัวใจ สมอง รวมไปถึงตัวอ่อนของมนุษย์ด้วย

สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดของการศึกษากายวิภาคศาสตร์ของ Leonardo da Vinci คงหนีไม่พ้นเรื่องหัวใจ

ในสมัยของเขานั้น “ตับ” เป็นอวัยวะที่ถูกโยงถึงมากที่สุดเมื่อเราพูดถึงเลือดในร่างกายมนุษย์ ไม่ใช่หัวใจอย่างในปัจจุบัน

แต่ Leonardo ได้ทำความเข้าใจกับการทำงานและความสำคัญของหัวใจต่อร่างกายมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เขามีความเข้าใจถึงพลศาสตร์ของไหลในหัวใจก่อนที่วิทยาศาตร์สมัยใหม่จะพิสูจน์ว่าสมมติฐานของ Leonardo da Vinci นั้นถูกต้องในอีก 450 ปีต่อมา

และถ้าจะพูดถึง Leonardo da  Vinci เราคงอดที่จะพูดถึง Mona Lisa ไม่ได้

Mona Lisa มักได้รับการกล่าวขานถึง ในฐานะภาพวาดชิ้นเอกของ da Vinci ซึ่งสิ่งที่คนพูดถึงกันมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นรอยยิ้มของ Mona Lisa ซึ่งทำให้ภาพนี้ราวกับมีชีวิต รอยยิ้มนี้จะแสดงถึงอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าคุณมองภาพจากมุมไหน

ถ้าคุณมองโดยจ้องตาของเธอ บริเวณมุมปากของเธอจะดูเหมือนอมยิ้ม แต่ถ้าคุณจ้องไปที่ปากของเธอตรงๆเลยคุณจะพบว่ารอยยิ้มนั้นหายไป  ซึ่งมาจากความสามารถด้านความเข้าใจแสง เงา มิติ ของ Leonardo da Vinc

นอกเหนือจากนี้ Leonardo da Vinci ใช้ความสามารถของเขาจากการศึกษาเรื่องแสง เงา ทำให้ภูมิทัศน์ของภาพนี้ดูเบลอ ซึ่งเทคนิคนี้ขัดกับเทคนิคที่ใช้ทั่วไปในยุคนั้น ที่จะเน้นการให้รายละเอียดทุกอย่างที่อยู่บนผืนผ้าใบให้ชัดทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลก็ตาม ยิ่งกว่านั้น การศึกษาเรื่องการสะท้อนของแสงยังทำให้เขาใช้ undercoat โปร่งแสงเคลือบไปบนบางส่วนของภาพ อย่างที่จะเห็นได้ชัดในบริเวณแก้มที่ทำให้ภาพดูมีประกายราวกับมีชีวิต

ภาพนี้อยู่กับ Leonardo da Vinci ตลอดชีวิตจนกระทั่งเขาจากโลกไปในวันที่ 23 เมษายน  1519 ด้วยวัย 67 ปี

Mona Lisa  วันนี้คือภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก  เป็นภาพที่มีคนเข้าชมมากที่สุด มีคนเขียนถึงมากที่สุด มีคนร้องเพลงถึงมากที่สุด ฯลฯ

ทุกวันนี้ภาพ Mona Lisa ถูกจัดแสดงอยู่ ณ  พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส ซึ่งประมาณการกันว่ามีคนมาเข้าชมเฉพาะภาพนี้อย่างเดียวปีละราว  8 ล้านคน

แม้จะจากโลกไปหลายร้อยปีแล้วความใฝ่รู้ ช่างสงสัย ความกระหายในการอยากเรียนรู้ และช่างศึกษาของ Leonardo da  Vinci ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังเสมอ

เหมือนครั้งหนึ่ง Leonardo da  Vinci เคยได้กล่าวไว้ว่า

“The noblest pleasure is the joy of understanding.”

 

Heart

Oklahoma, USA

Sam Walton เกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก เขาต้องทำงานแทบทุกอย่างตั้งแต่เด็กเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัว ในวัย 8 ขวบเขาก็เริ่มงานแรกเป็นคนขายนิตยสาร งานนี้ดูเหมือนจะไปได้ดีสำหรับเขา เขาสามารถขยายกิจการ จนหาเงินส่งตัวเองเรียนได้ จะว่าไป กิจการของเขาดีถึงขั้นต้องมีการจ้างคนมาช่วยเลยทีเดียว เขาเรียนรู้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นว่าการทำงานหนักนั้นสำคัญจริงๆ

จนกระทั่งอายุ 27  ปีเขาจึงเริ่มทำกิจการที่จริงจังมากครั้งแรกด้วยการเปิดร้านชื่อ Walton’s  Five and Dime (Walton’s 5-10) และด้วยการทำงานหนักมาก บวกกับกลยุทธ์ด้านราคาที่ชาญฉลาดทำให้ธุรกิจของเขาโตขึ้นถึงสามเท่าในเวลาไม่กี่ปี

ความสำเร็จนี้ช่างหอมหวลสำหรับเจ้าของพื้นที่เช่าที่ ก็เลยขอซื้อกิจการเพื่อมาให้ลูกชาย แต่ Sam Walton ปฏิเสธ  เจ้าของพื้นที่ก็เลยไม่ต่อสัญญาให้ดื้อๆเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมากเพราะร้านที่กำลังขายดีมากๆอยู่ ถ้าย้ายที่ละก็ โอกาสที่ลูกค้าจะไม่ตามไปซื้อมีเยอะมาก เจอแบบนี้เข้าไปหลายคนอาจจะท้อ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา

Sam Walton เริ่มออกตามหาพื้นที่ตามชานเมือง  แล้วก็ไปพบกับ Bentonville ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ  คราวนี้เขาไปเปิดร้านกลางเมือง และไม่พลาดที่จะทำสัญญาเช่านานถึง  99 ปีด้วยกัน

เมือง Bentonville  นี่เอง ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของ  Walmart

ตั้งแต่เปิดร้านแรกๆ สิ่งที่ Sam Walton ให้ความสำคัญมากๆ  คือ การลงทุนเพื่อดึงลูกค้ามาที่ร้านของเขา ตัวอย่างเช่น หลังจากเปิดร้าน Walton’s 5-10 เขาถึงขั้นไปกู้เงินมา $1,800 เหรียญ เพื่อซื้อเครื่องทำไอศครีมให้ลูกค้าของเขา

หรืออย่างตอนที่เปิดร้านขายของร้านแรก เขาก็สังเกตว่า ในวันหยุดนั้น ครอบครัวต่างๆจะขับรถเข้าเมือง และต้องตระเวนแวะร้านค้าหลายร้านมาก กว่าจะได้ของครบ อีกทั้งร้านเหล่านั้นก็ยังปิดเร็วและมีของให้เลือกน้อยอีกด้วย แถมการไปหลายร้านก็หาที่จอดรถลำบาก

นั่นเป็นที่มาที่ทำให้เขาอยากเปิดร้านให้ลูกค้าได้มีโอกาสได้ซื้อของได้นานขึ้น สะดวกขึ้น และมีสินค้าครบในที่เดียวไม่ต้องไปหลายร้าน มีที่จอดรถฟรีด้วย

การเอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง (customer-centric) นั้นเป็นปรัชญาที่ Sam Walton ใช้มาตลอดชีวิตการทำงานของเขาและการสร้างอาณาจักร Waltmart

ในที่สุด Walmart ก็กลายเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในอเมริกา แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Kmart และ Sears

Sam Walton เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แต่ในปี 1988 เขาคือ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของอเมริกา

นอกจากนั้น เขายังได้รับ Presidential Metal of Freedom จากประธานาธิบดี George Bush ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดที่พลเรือนจะสามารถรับมอบจากรัฐบาลได้ และนั่นมาจากการที่ Sam Walton นั้นบริจาคเงินส่วนตัวช่วยเหลืองานการกุศลมากมาย

เขาจากโลกไปอย่างสงบในวันที่ 5 เมษายน 1992 เพียง  19 วันหลังจากได้รับเหรียญ Presidential Metal of Freedom ทิ้งทรัพย์สมบัติ บทเรียน วิธีคิด และมุมมองทางธุรกิจให้คนรุ่นหลังต้องศึกษาอีกมากมายโดยเฉพาะคำพูดสุดคลาสิคที่ยังคงเป็นจริงอยู่ทุกวันนี้ที่ว่า

There is only one boss-the customer. And he can fire everybody in the company from the chairman on down, simply by spending his money somewhere else.”

Habit

Mississippi, USA

 

John Grisham มีอาชีพทนายความแต่เขาอยากเป็นนักเขียนด้วย ในปี 1985 เขาจึงเริ่มเขียนหนังสือ โดยใช้เวลาว่างในแต่ละวันประมาณ 30 ถึง 60 นาที เขียนหนังสือวันละ 1 หน้า ผ่านไปสามปีกว่าๆ ต้นฉบับหนังสือเล่มแรกของเขาก็เสร็จ มันมีชื่อว่า A Time to Kill

เขานำเสนอต้นฉบับนี้ให้กับสำนักพิมพ์หลายที่ แต่โดยปฏิเสธมากว่า 40 สำนักพิมพ์ จนกระทั่งมีสำนักพิมพ์ชื่อ Wynwoord ลองพิมพ์หนังสือเล่มนี้เพียงไม่กี่พันเล่ม

ตั้งแต่วันแรกที่เขาเขียนเรื่อง A Time to Kill เสร็จ และยังไม่มีสำนักพิมพ์ไหนยอมพิมพ์ เขาก็เริ่มเขียนเล่มสองต่อทันที โดยเขียนวันละหน้าเหมือนเดิม

หนังสือเล่มที่สองชื่อ The Firm ซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตก มันอยู่ใน The New York Times Best Seller ถึง 47 สัปดาห์ติดต่อกัน และขายไปได้ 7 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้ถูกทำไปสร้างหนังที่มี Tom Cruise เล่นและภายหลังยังถูกนำไปสร้างเป็นซีรี่ย์อีกด้วย

สไตล์การเขียนของเขาเป็นเอกลักษณ์มาก ถึงขั้นเป็น catagory ใหม่ที่เรียกว่า legal thriller

หนังสือเก้าเล่มของเขาที่เคยได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ได้แก่ A Time to Kill, The Rainmaker, The Firm, The Runaway Jury, The Chamber, The Client, A Painted House, The Pelican Brief และ Skipping Christmas

หนังสือของ John Grisham ขายไปได้ทั้งหมดรวมกันเกือบ 300 ล้านเล่ม และเขาเป็นนักเขียนเพียงหนึ่งในสามคนของโลกเท่านั้น ที่เคยขายหนังสือได้ 2 ล้านเล่มในการพิมพ์ครั้งแรก

ความสำเร็จของ John Grisham มาจากหลายเรื่องรวมกัน แต่หนึ่งในนั้นมีนิสัยแห่งความสม่ำเสมออยู่ด้วยแน่นอนครับ

 

​อย่าลืมหาเวลาจัด head, heart, habbit ให้ตรงกับเป้าหมายของเรานะครับ ​

บทความโดย: รวิศ หาญอุตสาหะ


อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online