หลังจากที่กวาดยอดขาย 5 เดือนแรกกว่า 14,640 ล้านบาท เอพี มั่นใจตลาดอสังหาฯ สดใส เดินหน้าด้วยแผนรุกตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง เปิดตัว 35 โครงการใหม่ มูลค่า 54,380  ล้านบาท พร้อมรุกตลาดแนวราบในทุกมิติ ทั้งขยายและสร้างฐานใหม่ ในขณะที่คอนโดเตรียมชูไฮไลต์เด็ด THE ADDRESS สยาม – ราชเทวี  เจาะตลาด Super Luxury

โดยปี 2561 เป็นปีที่เอพีมีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา ซึ่งจากการปรับแผนทั้งปีเอพีจะเปิดตัวโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 43 โครงการมูลค่า 64,750 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าแนวราบ 38 โครงการ มูลค่า 39,350 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 25,400 ล้านบาท เปิดตัว ในครึ่งปีแรก จำนวน 8 โครงการ พร้อมเปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 35 โครงการ

ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 5 เดือนแรก ณ วันที่ 27 พฤษภาคมนี้ เอพีสร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 14,640 ล้านบาท หรือราว 44% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท)

ในไตรมาสแรกของปี 61 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม (รวม 51% โครงการร่วมทุน) สูงถึง 6,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปี 69 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 5,127 ล้านบาท

กลุ่มผู้บริโภคเปลี่ยน แต่แนวราบพร้อมรุกทุกมิติ

ภาพรวมตลาดสินค้าแนวราบในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งอายุของคนซื้อที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ จากข้อมูลเอพีย้อนหลัง 5 ปี กลุ่มคนที่ตัดสินใจซื้อมีอายุเฉลี่ยระหว่าง 18-35 ปี มากถึง 60% รวมถึงต้นทุนในการสรรหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่ถือเป็นตัวกรองสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดแนวราบเหลือน้อยลง

ที่ผ่านมาสินค้าแนวราบของเอพีถือว่าประสบความสำเร็จในสัดส่วนที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส แม้แต่ยอดขายเดือนเมษายนที่ถือเป็นเดือนเทศกาล ก็ยังสามารถสร้างยอดขายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 400 ล้านบาท ซึ่งถ้าโมเมนตั้มยอดขายไปได้เฉลี่ยประมาณ 350-400 ล้านต่อสัปดาห์ เอพีจะสามารถทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่วางไว้แน่นอน

นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจแนวราบ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “หนึ่งใน key success ของการพัฒนาโครงการแนวราบเอพี คือ การมีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องของโมเดลบ้าน และจำนวนโครงการที่ครอบคลุมในทุกทำเลรอบกทม. ซึ่งจากวันนี้ไปเอพีพร้อมรุกตลาดแนวราบครึ่งปีหลังในทุกมิติ ด้วยแผนการพัฒนาโครงการใหม่ที่มากถึง 32 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 33,980 ล้านบาท  เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 18,600 ล้านบาท โฟกัสตลาดครอบครัวคนเมือง โดยมี fighting brand อย่าง CENTRO บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวที่เริ่มต้น และ THE CITY บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ ราคาเฉลี่ย 5-15 ล้าน และสินค้ากลุ่มทาวน์โฮม 17 โครงการ มูลค่า 15,380 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 2-10 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบ้านกลางเมืองจากเอพีถือครองส่วนแบ่งตลาดสินค้าทาวน์โฮม 3 ชั้นมากสุดเป็นอันดับ 1 ซึ่งเอพีได้ต่อยอดความชำนาญไปสู่การพัฒนาทาวน์โฮม 2 ชั้น แบรนด์พลีโน่ (PLENO) ซึ่งจะเป็น fighting brand ของสินค้ากลุ่มทาวน์โฮมต่อไป ซึ่งการรุกตลาดแนวราบนั้นจะการขยายทั้งตลาดเดิมที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วในทำเลต่างๆ เช่น ย่านสุขสวัสดิ์  พระราม 3 ลาดพร้าว  พระราม 9 วัชรพล ปิ่นเกล้า ราชพฤกษ์  รัตนาธิเบศร์ รวมถึงการสร้างฐานลูกค้าใหม่ในทำเลอื่นๆ  เช่น อ่อนนุช  บางนา รังสิต เป็นต้น”

คอนโดระดับกลางบนยังมีกำลังซื้อ

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี (ไทยแลนด์)  กล่าวว่า “สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมดีมานด์ให้การตอบรับดี โดยเฉพาะตลาดคอนโดระดับกลางบนถึงไฮเอนท์ ซึ่งจากยอดขายที่ผ่านมาประกอบกับการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดับกลางบนได้อย่างชัดเจน

สำหรับแผนการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในครึ่งปีหลังนี้ เอพีเตรียมเปิดตัว 3 คอนโดมิเนียมร่วมทุนระหว่างเอพีและมิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) มูลค่ารวมประมาณ 20,400 ล้านบาท โดยมีไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัวสินค้าระดับ super luxury ด้วยแแบรนด์คอนโด THE ADDRESS ในทำเลใจกลางเมืองอย่างราชเทวี ภายใต้ชื่อโครงการ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,300 ล้านบาท และ LIFE Condo อีก 2 ทำเลศักยภาพ คือ LIFE LADPAO VALLEY มูลค่าประมาณ 6,400 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลในเดือนสิงหาคม และ 3 LIFE ASOKE HYPE  มูลค่าประมาณ 5,700 ล้านบาท พร้อมเปิดขายประมาณไตรมาส 4 ปีนี้”

ปัจจุบัน เอพีมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (ongoing projects) จำนวน 23 โครงการ มูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 12,100 ล้านบาท โดยในปีนี้เอพีมีคอนโดที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์จำนวนทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,400 ล้านบาท ได้แก่

1. LIFE อโศก (โครงการร่วมทุน) มูลค่าโครงการ 7,500 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่เดือนเมษายน

2. VITTORIO มูลค่าโครงการ 3,200 ล้านบาท เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสสอง

3. RHYTHM เอกมัย (โครงการร่วมทุน) มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท

4. ASPIRE สาทร-ราชพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ทั้ง 2 โครงการคาดจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ประมาณไตรมาสสี่ของปีนี้

สำหรับประเด็นเรื่องของนวัตกรรมกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คุณวิทการกล่าวว่า “ความสำเร็จของนวัตกรรมอาจไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดที่เกิดขึ้นครั้งแรกในอุตสาหกรรม แต่ความสำเร็จของนวัตกรรมคือการสร้าง ‘กระบวนการ’ คิดเพื่อเข้าถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ซับซ้อนมากขึ้นเพื่อนำไปในสู่วิถีชีวิตใหม่อย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมาการพัฒนาสินค้าทั้งแนวราบและแนวสูง เราได้นำแนวคิด STANFORD DESIGN THINKING มาใช้เพื่อค้นหาความต้องการแฝงของผู้บริโภคในอนาคต โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่ทีมคอนโดได้นำมาประยุกต์ใช้ให้เห็นผลและเกิดขึ้นจริงอย่างเร่งด่วนนั้น คือ การปรับกระบวนการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ด้วยการนำเทคโนโลยี AI BIM (Artificial Intelligence Building Information Modeling) เทคโนโลยีการออกแบบงานก่อสร้างอาคารสูงอัจฉริยะ 7 มิติ ซึ่งคิดค้นขึ้นโดย Prof. จากมหาวิทยาลัย Stanford มาใช้อย่างครบวงจรเป็นรายแรกในประเทศไทย โดยจุดต่างของ AI BIM คือ มิติที่ 7 ที่คลอบคลุมไปถึงกระบวนการบริหารจัดการอาคาร (AI BIM for Facility Management) ที่จะเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการสืบค้นงานระบบและงานโครงสร้างทั้งหมด เพื่อการซ่อมบำรุงและรักษาสภาพของอาคารให้สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ

“บทเรียนหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับ Prof. จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดคือ กระบวนการทำความเข้าใจในความต้องการแฝงของลูกค้า และการนำข้อมูลเหล่านั้นมาหาจิ๊กซอว์ตัวพิเศษ ที่จะสร้างความได้เปรียบให้กับสินค้าแนวราบของเอพี ถึงแม้วันนี้เรามีแบบบ้านที่อยู่ในระบบมากกว่า 70 โมเดลแล้ว แต่จากอายุของผู้ซื้อโครงการแนวราบที่ลดน้อยลง ถือเป็นสัญญาณที่บอกให้เราต้องลุกขึ้นตั้งรับกับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

จากข้อมูลเราพอจะสรุปออกมาเป็นเทรนด์ในการพัฒนาโครงการแนวราบในอนาคตเป็น 3 เรื่องหลักๆ คือ

1.Multi Generation Living แนวโน้มการอยู่อาศัยร่วมกันของหลายช่วงอายุ ตั้งแต่เจเนเรชั่นรุ่นเบบี้ บูม ไปจนถึงเด็กเล็ก ดังนั้น บทบาทของพื้นที่ต่างๆ ภายในบ้านต้องคิดมากกว่าพื้นที่พักผ่อน ทุกพื้นที่ต้องได้รับการออกแบบบนพื้นฐานการเข้าใจในเรื่อง human scale และพฤติกรรมที่แตกต่างกันของคนแต่ละวัย

2.Healthy Living การให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดี คลอบคลุมความต้องการทั้งพื้นที่ส่วนกลางและภายในบ้าน

3.Smart Home Living  คงเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้กับการประยุกต์เอาเทคโนโลยีเข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตภายในบ้าน ซึ่งสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่าเป็นอันดับแรกคือ บทบาทของเทคโนโลยีกับการเฝ้าระวัง หรือช่วยเหลือคนที่รักให้ปลอดภัยจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นอย่างทันถ่วงที

“สรุปจากการปรับเพิ่มแผนการเปิดตัวโครงการ ในปี 2561 จะเป็นปีที่บริษัทเปิดตัวโครงการมากที่สุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทมา โดยเปิดตัวทั้งสิ้น 43 โครงการมูลค่า 64,750 ล้านบาท คงเหลือพร้อมเปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 35 โครงการ มูลค่า 54,380 ล้านบาท  แบ่งเป็นเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 15 โครงการ มูลค่า 20,700 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 20 โครงการ มูลค่า 33,680 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น และคอนโดมิเนียมไฮไลท์ จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน” นายภมร กล่าวทิ้งท้าย

ณ 27 พฤษภาคม 2561 มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (backlog) มูลค่ามากถึง 49,435 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 7,635 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 41,800 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2565



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online