เวียดนามเพิ่งสร้างความฮือฮาในแวดวงการค้าระหว่างประเทศได้อีกครั้ง หลังเป็นชาติที่สองที่บรรลุข้อตกลงอัตราภาษีนำเข้าเบื้องต้นกับสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นข่าวดีที่สร้างความหวังให้แก่ภาคธุรกิจและผู้ผลิตเสื้อผ้าที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ในเวียดนาม ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ภายใต้ข้อตกลงนี้ เวียดนามจะได้รับประโยชน์จากการที่สหรัฐฯ ลดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจำนวนมากจากที่เคยถูกขู่ไว้สูงถึง 46% ในเดือนเมษายน เหลือเพียง 20% เท่านั้น นับเป็นการผ่อนปรนครั้งสำคัญที่ช่วยลด ต้นทุน ให้กับผู้ส่งออกของเวียดนาม และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ
ฝ่ายเวียดนามก็ตอบแทนด้วยการไม่เก็บภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ ที่นำเข้ายังเวียดนาม ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ ก็พอใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ความยินดีนี้ก็อยู่ได้ไม่นานนัก เพราะสหรัฐฯ ยังคงเรียกเก็บภาษี 40% กับ การส่งผ่านสินค้า (transshipments) ซึ่งพุ่งเป้าไปที่บริษัทจีนหลังสหรัฐฯ เห็นว่าพยายามส่งสินค้าผ่านทางเวียดนามหรือประเทศอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดไว้กับจีนโดยตรง
ภาคธุรกิจในเวียดนามต่างแสดงความกังวลกับ การส่งผ่านสินค้า เพราะเป็นคำที่มีนัยทางการเมืองและสามารถตีความได้กว้างมาก หาก สหรัฐฯ กำหนดนิยามที่กว้างเกินไปอาจลดโอกาสของสินค้าเวียดนามในตลาดสหรัฐฯ และกระทบต่อภาคการผลิต หลังเวียดนามได้ชื่อว่าเป็นโรงงานโลกแห่งใหม่ แต่ก็ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน
ดร. เหงียน คัก เกียง นักวิชาการรับเชิญจากสถาบัน ISEAS Yusof Ishak ชี้ว่า เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิตที่พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพื่อมาเพิ่มมูลค่าและส่งออกต่อไปยังประเทศอื่นๆ ดังนั้นจะคาดหวังให้สินค้าเวียดนามส่วนใหญ่จะผลิตขึ้นในประเทศทั้งหมดนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ นี่นำมาสู่คำถามที่ว่า สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ถือว่าเป็น “สินค้าเวียดนามแท้” ที่เหมาะสมตามที่เวียดนามกับสหรัฐฯ เห็นตรงกันควรเป็นเท่าใด
การกำหนดนิยามและการบังคับใช้นโยบายเกี่ยวกับการส่งผ่านสินค้าในข้อตกลงนี้ยังคงไม่ชัดเจน ซึ่งประเด็นนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าโลกและความสัมพันธ์กับจีน โดยสตีเฟน โอลสัน อดีตผู้เจรจาการค้าของสหรัฐฯ ระบุว่า เวียดนามต้องบริหารความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีนให้ดี
ในอดีต เวียดนามซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ได้รับประโยชน์อย่างมากช่วงสหรัฐฯ เปิดสงครามการค้ากับจีน เมื่อครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก เพราะบริษัทและโรงงานจีนมากมายย้ายมาเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ทำให้เวียดนามมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จนสหรัฐฯ ไม่พอใจและกล่าวหาว่าช่วยบริษัทจีนเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ จนทำมาสู่การขู่ขึ้นกำแพงภาษีก่อนหน้านี้
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเวียดนามกับทั้งสหรัฐฯ และจีนมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง โดยการส่งออกของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ คิดเป็น 30% ของ GDP ประเทศ ในขณะที่จีนก็เป็นแหล่งนำเข้าวัตถุดิบอันดับหนึ่งของเวียดนาม ทั้งวัตถุดิบสำหรับรองเท้า เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้น ภาษีการส่งผ่านสินค้า จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่าง ๆ ของเวียดนามนับจากนี้ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีกำไรต่ำ เช่น สิ่งทอ โดยหากต้องพิสูจน์แหล่งที่มาขององค์ประกอบสินค้าทั้งหมดก็อาจเป็นปัจจัยลบที่ฉุดรั้งการเติบโตทางธุรกิจ
ด้าน แดน มาร์ติน ที่ปรึกษาธุรกิจระหว่างประเทศในเวียดนาม ตั้งข้อสังเกตว่า ยังคงต้องรอดูว่าภาษี 40% สำหรับการส่งผ่านสินค้าจะถูกบังคับใช้อย่างจริงจังเพียงใด และท้ายที่สุดเวียดนามอาจได้รับประโยชน์หากสหรัฐฯ ส่งเสริมให้ซัพพลายเออร์เข้ามาตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม
ในสถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลเวียดนามต้องหาทางรักษาสมดุลทางการทูตอย่างระมัดระวัง เพราะขณะที่สหรัฐฯ เป็นทั้งตลาดส่งออกหลักและหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่ช่วยถ่วงดุลอำนาจของจีน แต่จีนก็มองว่าเวียดนามกำลังให้ความร่วมมือเพื่อการปิดกั้นและกดดันทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นหากเมื่อใดที่จีนเห็นว่ามากเกินไปอาจตอบโต้เวียดนามด้วยมาตรการแข็งกร้าวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจเป็นการเพิ่มความเคลื่อนไหวในทะเลจีนใต้ พื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันมาอย่างยาวนาน / theguardian
