“Mo-Mo-Paradise (โมโม พาราไดซ์)” แบรนด์เชนร้านชาบูสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบบุฟเฟ่ต์ ที่เข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ในปี 2551 จากการมองเห็นช่องว่างของตลาด ซึ่งในตอนนั้น ยังมีชาบูสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นแท้อยู่น้อย

ปัจจุบันผ่านมา 17 ปี Mo-Mo-Paradise คือแบรนด์ชาบูสุกี้ระดับแมส-พรีเมียมที่มีจุดขายคือรสชาติความเป็นญี่ปุ่นออริจินอล และบริหารวัตถุดิบด้วยการมีเมนูเพียงไม่กี่เมนูให้เลือก แต่เป็นเมนูที่มีคุณภาพ 

ในงาน ‘เสิร์ฟแผนรอด: สูตรลับร้านอาหารไทยฝ่าวิกฤต’ จัดโดย บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี คุณสุรเวช เตลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด บริษัทบริหารแบรนด์แฟรนไชส์จากญี่ปุ่น Mo-Mo-Paradise ในไทย เปิดมุมมองการปรับตัวของแบรนด์ ท่ามกลางมูลค่าตลาดชาบูสุกี้ 25,000 ล้านบาท ที่กำลังแข่งขันดุเดือดไม่แพ้น้ำซุปในหม้อต้ม 

คุณสุรเวช กล่าวว่า การดำเนินงานของ Mo-Mo-Paradise ช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค. – มิ.ย.) ปี 2025 ยังคงการเติบโตในระดับเลขหลักเดียว สอดคล้องกับสถานการณ์ร้านอาหารในไทยที่อยู่ในความท้าทาย 

จากประสบการณ์ที่บริษัทเคยผ่านวิกฤตโรคระบาด มองว่า ปีนี้ธุรกิจร้านอาหารเผชิญความท้าทายกว่ามาก เนื่องจากเป็นผลกระทบที่เข้ามาต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายชัดเจน 

บริษัทวางกลยุทธ์การดำเนินงานด้วยการสร้างรากฐานให้แข็งแกร่งในทุกสาขา ขยายกิจการอย่างรัดกุม พร้อมเงินทุนสำรอง และกระแสเงินสดที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันให้บริษัทสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนได้ และยืนยันว่าปีนี้จะไม่มีการปรับขึ้นราคาในทุกแบรนด์

ปีนี้บริษัทจะยังไม่มีการเปิดสาขาใหม่ แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการข้อมูลผู้บริโภคในเครือ Mo-Mo-Paradise ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อาทิ ระบบ POS, ERP, AI

แบรนด์อื่น ๆ ในพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งวางตำแหน่งให้เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์เรือธง Mo-Mo-Paradise ปัจจุบันมีอยู่ 3 แบรนด์ เริ่มจาก Nabezo Premium (นาเบโซ พรีเมียม) ร้านชาบูและสุกี้ยากี้ระดับพรีเมียม 

อีกทั้ง 2 แบรนด์ต่างชาติที่บริษัทนำเข้ามาทำตลาดในไทยอย่าง Gyukatsu Kyoto Katsugyu (กิวคัตสึ เกียวโต คัตสึกิว) ร้านเนื้อทอดสไตล์ญี่ปุ่น และ Guljak Topokki & Chicken (กอลจัก ต๊อกบกกี ชิกเก้น) ร้านต๊อกบกกี และไก่ทอดเกาหลี   

มุมมองสถานการณ์สงครามราคาในตลาดชาบูสุกี้ขณะนี้ บริษัทมองว่าจะดำเนินอยู่ไม่นาน เนื่องจากไม่ได้ตอบโจทย์โครงสร้างของแบรนด์ที่ทำกันในระยะยาว ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง จึงเริ่มเห็นแบรนด์ที่สายป่านไม่ยาวพอ หรือแบรนด์เกิดใหม่เริ่มหายไปจากตลาดต่อเนื่อง

ส่วนของ Mo-Mo-Paradise ยืนยันว่าจะไม่มีการลงไปเล่นสงครามราคา เนื่องจากสเกลสาขาของแบรนด์ยังไม่ตอบโจทย์ และส่งผลกระทบต่อการสร้างแบรนด์

ขณะที่ Subscription model เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ยังอยู่ในการพิจารณา ตอนนี้บริษัทเน้นสร้างแบรนด์และการดึงดูดลูกค้าด้วยจุดขายชาบูสุกี้ที่มีรสชาติความเป็นญี่ปุ่น

บริษัทวางเป้ายอดขายทั้งปี 2025 อยู่ที่ราว 2,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขับเคลื่อนผ่านการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม นำโดย Mo-Mo-Paradise ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 31 สาขา ส่วนอีก 3 แบรนด์ รวม 8 สาขา วางจะมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ราว 100 ล้านบาท 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer