ตลาดก่อสร้างไทยปี 2568 คาดการณ์มูลค่าแตะ 1.4 ล้านล้านบาท โปรเจกต์ใหญ่รัฐ-เอกชน และงานรีโนเวตหลังแผ่นดินไหว พยุงตลาดทรงตัวถึงติดลบเล็กน้อย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจท้าทาย จระเข้ คอร์ปอเรชั่น กางแผนงานรักษาเบอร์หนึ่งมาร์เก็ตแชร์ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนว ลุยตลาดต่างประเทศเต็มสูบ

ดร. จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ตลาดก่อสร้างไทยในปี 2568 คาดการณ์มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านล้านบาท แสดงสัญญาณทรงตัวถึงติดลบเล็กน้อย โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่ขยายตัว 3-5% ส่วนภาคเอกชน ลดลง 4-5.6% จากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว
มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวในปีนี้ มาจากการลงทุนก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ทั้งโครงการเดิม และใหม่ อาทิ โปรเจกต์ท่าเรือ ทางด่วน รถไฟความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานในแถบอีอีซี
ตลาดวัสดุก่อสร้างยังได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความต้องการซ่อมแซมเร่งด่วน โดยพบว่าผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญกับสินค้าคุณภาพที่มีมาตรฐานความปลอดภัย และความสามารถในการรับมือภัยพิบัติมากขึ้น
เจ้าของบ้าน และทุกองค์กรต่างหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานที่มั่นคง และการซ่อมแซมที่จะมอบความคงทน และปลอดภัยในระยะยาว
ทั้งยังพบว่าความยั่งยืน ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณา โดยวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คาดการณ์จะเติบโต 5-6% ในช่วงปี 2568-2572 สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
โดยผลประกอบการของบริษัท ครึ่งแรก (ม.ค. – มิ.ย.) ปี 2568 เติบโต 9.5% วางเป้าทั้งปีอยู่ที่ราว 4,000 ล้านบาท เติบโต 10%
บริษัทมีสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็น 90% ในประเทศ มาจากช่องทาง Traditional Trade 62% และ Modern Trade 38% ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายในการพัฒนา และยกระดับศักยภาพคู่ค้าอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ค้า “จระเข้ช็อป (Jorakay Shop)” ที่เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันผลิตภัณฑ์แบรนด์จระเข้ไปยังผู้ใช้งาน
ไม่ว่าจะเป็น ช่างก่อสร้าง ผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับเหมาเฉพาะทาง (Applicator) และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขาย และการตลาดครบวงจรอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ ตลาดต่างประเทศ บริษัทมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 10% โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 16% ภายใน 3 ปี (2569-2571) ซึ่งปัจจุบันกลุ่มประเทศ CLMV คิดเป็น 90% ของยอดขายในตลาดต่างประเทศ
บริษัทจะเดินหน้าขยายสินค้าในตลาดเดิม และเจาะตลาดใหม่มากขึ้น อาทิ เอเชียกลาง, แอฟริกา ทั้งวางกลยุทธ์หลักคือการเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรท้องถิ่น และการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายหลัก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งช่องทางค้าปลีก
โดยตลาดวัสดุก่อสร้างในกลุ่มประเทศ CLMV ยังคงแสดงศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ แม้จะเผชิญความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ระบบน้ำและไฟฟ้า ที่ช่วยดันความต้องการวัสดุก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับ CLMV ก็มีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เวียดนามโดดเด่นด้วยแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติมายังเวียดนาม พร้อมด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และนิคมอุตสาหกรรม
เมียนมาเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างความต้องการวัสดุก่อสร้างจากไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปูนซีเมนต์และเหล็ก
ทั้งนี้ บริษัทยังคงครองความเป็นเจ้าตลาดในกลุ่มนวัตกรรมกาวซีเมนต์และกาวยาแนวในไทยที่มีมูลค่าตลาด 5,500 ล้านบาท ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง เติบโตโดดเด่นที่ 24% โดยตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มนี้ไว้ที่ 900 ล้านบาท ในปี 2568
บริษัทจะไม่หยุดแค่การเป็นผู้นำตลาดในด้านยอดขาย แต่ยังมุ่งมั่นขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่อุตสาหกรรม ด้วยวิสัยทัศน์ในการยกระดับสังคมด้วยการส่งมอบทั้งนวัตกรรมและการสร้างคน
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วน Green Products กว่า 63% และตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์ฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน จระเข้ อะคาเดมี่ (Jorakay Academy Training Center) ได้ประสบความสำเร็จในการส่งต่อองค์ความรู้ สร้างช่างรุ่นใหม่และยกระดับมาตรฐานวงการก่อสร้างไทย
บริษัทยังต่อยอดสู่การพัฒนาแรงงานระดับภูมิภาคผ่านโปรเจกต์ “Crocodile Tiler X” เวทีชิงแชมป์ช่างปูกระเบื้องระดับภูมิภาคอาเซียน ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอกย้ำบทบาทของบริษัท ในฐานะผู้นำมาตรฐานงานปูกระเบื้องระดับภูมิภาค
