ในโลกที่สินค้าแทบไม่ต่างกันมากนัก “ชื่อแบรนด์” คือสิ่งที่สร้างความต่างอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งที่ทำให้ชื่อหนึ่งมีพลังเหนืออีกชื่อหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Brand Equity หรือ “คุณค่าของแบรนด์” มูลค่าที่ไม่ได้อยู่ในตัวสินค้า แต่อยู่ในใจของผู้บริโภค

Brand Equity คืออะไร

Brand Equity คือ “คุณค่าที่แบรนด์สร้างขึ้นในใจผู้บริโภค” ซึ่งสะท้อนจากการรับรู้ ความเชื่อมั่น และความภักดีต่อแบรนด์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น ทำไมผู้บริโภคยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อโคคาโคล่าแทนโคล่าทั่วไป หรือทำไมเสื้อยืดที่มีโลโก้ Nike ถึงขายได้ราคาสูงกว่าแบรนด์ไม่มีชื่อ ทั้งที่วัตถุดิบใกล้เคียงกัน คำตอบคือ “Brand Equity”

จำเป็นหรือไม่ในยุคนี้

ในยุคที่การแข่งขันไม่ได้อยู่แค่เรื่องของคุณภาพหรือราคา แต่รวมถึง “ความรู้สึก” ที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ Brand Equity จึงจำเป็นยิ่งกว่าเดิม เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ลูกค้า “เลือก” แบรนด์คุณซ้ำๆ แม้มีตัวเลือกอื่น และยังเป็นเกราะป้องกันเมื่อเกิดวิกฤตภาพลักษณ์หรือราคาต้องปรับขึ้น

แบรนด์ที่มี Brand Equity สูงจะสามารถต่อยอดธุรกิจได้หลายทาง เช่น การขยายสินค้าใหม่ (Brand Extension) การตั้งราคาสูงขึ้นโดยลูกค้ายังยอมรับ หรือแม้แต่การระดมทุนและเข้าตลาดหุ้นได้ง่ายขึ้น เพราะแบรนด์มี “มูลค่าในตัวเอง”

Brand Equity เกิดขึ้นได้อย่างไร

ตามแนวคิดของ Kevin Lane Keller นักการตลาดชื่อดัง Brand Equity เกิดจาก 4 ขั้นตอนสำคัญในใจผู้บริโภค

1.Brand Awareness (การรับรู้แบรนด์)
ผู้บริโภครู้จักแบรนด์คุณไหม จำได้ไหมว่าแบรนด์นี้ขายอะไร เช่น เวลาอยากดื่มน้ำอัดลม คิดถึง “โคคาโคล่า” เป็นชื่อแรก นี่คือจุดเริ่มต้นของทุนทางแบรนด์

2.Brand Associations (ภาพจำและความหมาย)
เมื่อพูดถึงแบรนด์ ผู้บริโภครู้สึกอย่างไร เช่น Starbucks = พรีเมียม / Uniqlo = เรียบง่ายคุณภาพดี / Muji = มินิมอลจริงใจ ภาพเหล่านี้คือสมบัติทางจิตใจของแบรนด์

3.Perceived Quality (คุณค่าที่รับรู้)
ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้ามีคุณภาพดี แม้ไม่เคยลองมาก่อน เพราะเชื่อในชื่อเสียงและประสบการณ์ที่ผ่านมา

4.Brand Loyalty (ความภักดีต่อแบรนด์)
ขั้นสุดท้ายคือเมื่อลูกค้ารักแบรนด์จนยากจะเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น แม้มีของถูกกว่า หรือสะดวกกว่าก็ตาม

จะสร้าง Brand Equity ได้อย่างไร

การสร้างทุนทางแบรนด์ไม่ใช่แค่ทำโฆษณาให้ดัง แต่ต้องสร้าง “ประสบการณ์ที่ดีต่อเนื่อง” ผ่านทุกจุดสัมผัสของลูกค้า (Customer Touchpoints) เช่น

  • สินค้า: มีคุณภาพและความสม่ำเสมอ
  • บริการ: จริงใจและสร้างความเชื่อมั่น
  • สื่อสารแบรนด์: มีเอกลักษณ์ สื่อสารด้วยน้ำเสียงและอารมณ์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
  • คอนเทนต์: ถ่ายทอดเรื่องราว (Brand Storytelling) ที่ทำให้คนรู้สึกว่าแบรนด์มีตัวตน มีจุดยืน และมีคุณค่า
  • ประสบการณ์: ทำให้ลูกค้ารู้สึกดีทุกครั้งที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์

สรุป

Brand Equity คือ “พลังของชื่อแบรนด์” ที่สร้างความแตกต่างในตลาด และเป็นทุนระยะยาวที่คู่แข่งลอกเลียนไม่ได้ ยิ่งสร้างไว ยิ่งมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะเมื่อผู้บริโภครู้สึกว่า “แบรนด์นี้ใช่สำหรับฉัน” ราคาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป 🟥


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer