ในช่วงต้นทศวรรษ 2010 โลกยังไม่มีใครคิดถึง “การอ่านหนังสือในโทรศัพท์มือถือ” เพราะตอนนั้นมีเพียง iPhone 3GS หน้าจอยังไม่ชัดพอ และ iPhone 4 ก็ยังไม่ออก

แต่แล้ววันที่ สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว iPad ทุกอย่างก็เปลี่ยน นั่นคือจุดที่ทำให้ทีมผู้ก่อตั้ง meb มองเห็น “โอกาสใหม่ในโลกการอ่าน”

เป็นเทรนด์โลกที่ใครก็เห็นพร้อมกัน แต่สิ่งที่ทีม meb เห็น “เร็วกว่า” คือการเชื่อมโยงเทคโนโลยีนี้เข้ากับ pain point ของวงการหนังสือไทย ที่พวกเขารู้จักดีที่สุด

ในปี 2024 ผลประกอบการร้านหนังสือเชนใหญ่หลายแห่งกำลังขาดทุน แต่แพลตฟอร์มอีบุ๊ก meb ทำรายได้ 2,207 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 13.81%  มีกำไร  440  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.46%

เมื่อ 14 ปีก่อน “meb” ยังเป็นเพียงไอเดียเล็ก ๆ ของเพื่อนวิศวะสองคนจากจุฬาฯ ที่อยากสร้างธุรกิจซอฟต์แวร์ของตัวเอง

แต่จากจุดเริ่มต้นนั้น วันนี้พวกเขากลายเป็น “ผู้นำตลาดอีบุ๊กและนิยายออนไลน์ของไทย” ที่เปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านของคนไทยทั้งประเทศ

จุดเริ่มต้นจากไอเดียเล็ก ๆ ของเพื่อนวิศวะสองคนจากจุฬาฯ

เรื่องราวของ 2 ผู้ก่อตั้ง meb (เมพคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)”ไช้” รวิวร มะหะสิทธิ์  และ “โก๋” กิตติพงษ์ แซ่ลิ้ม ที่เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน เคยทำงานร่วมกันในกิจกรรมชมรมและกิจกรรมของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

หลังเรียนจบในปี 2003 ได้มีโอกาสรวมตัวกันเปิดบริษัทซอฟต์แวร์เฮาส์เล็ก ๆ เนื่องจากมีพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์เป็นทุนเดิม

แต่ในขณะเดียวกันก็มี “ใจรักหนังสือ” จึงเริ่มขยับมาทำสำนักพิมพ์นิยายไซไฟ (Sci-Fi) ทั้งซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศและรับต้นฉบับจากนักเขียนไทย

ในระหว่างทำหนังสือ ทั้ง 2 ยังคงรับงานซอฟต์แวร์ควบคู่ไปด้วย แต่พบว่าธุรกิจซอฟต์แวร์เป็นลักษณะ “รับจ้างเป็นจ๊อบ ๆ” ไม่มีรายได้ต่อเนื่อง

จึงเริ่มคิดหาทางสร้าง “รายได้แบบ Passive Income” บ้าง

“เมื่อวิศวกรไปทำหนังสือ จะค้นพบความไม่สะดวกบางอย่าง อย่างเช่นเรื่องตรวจคำผิดเอง ที่เราอาจจะไม่ถนัดและตรวจไม่ละเอียด ตอนนั้นเราคิดกันเล่น ๆ ถ้ามีเครื่องมือดี ๆ มาช่วย มันน่าจะทำได้ดีกว่านั้น ก็เลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า งั้นเราทำซอฟต์แวร์มาตรวจคำผิดเลยดีกว่า”

หนึ่งในผู้ก่อตั้งเริ่มเล่าย้อนอดีตให้ทีม Marketeer ฟัง

เป็นความตั้งใจทำเพื่อใช้เองและขายให้สำนักพิมพ์ เพราะยุคนั้นเป็นยุคของ “แพ็กเกจซอฟต์แวร์” ที่ใช้เงินลงทุนใหญ่ ๆ ก้อนเดียว แต่ขายได้เรื่อย ๆ เก็บกินได้ยาว ๆ ก็น่าจะคุ้ม ก็เลยลงมือทำซอฟต์แวร์ตรวจคำขึ้นมาจริงจัง

ดังนั้นในช่วงเริ่มต้น บริษัทมี 3 ธุรกิจหลักที่ทำไปพร้อมกัน คือ

ซอฟต์แวร์เฮาส์ รับจ้างพัฒนาโปรแกรม ซึ่งรายได้ขึ้นอยู่กับลูกค้าที่ว่าจ้าง ถ้าไม่มีงานเข้าก็ไม่มีรายได้

สำนักพิมพ์ เมื่อทำหนังสือที่ตัวเองสนใจ ไม่ได้เน้นตลาดเป็นหลัก ผลคือบางเล่มมีกำไร บางเล่มก็ขาดทุน

ซอฟต์แวร์แพ็กเกจ สำหรับสำนักพิมพ์ เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่ขายให้กับสำนักพิมพ์อื่น ปัญหาที่เจอคือ “คนจ่ายไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้จ่าย” หมายความว่า เจ้าของบริษัทเป็นคนตัดสินใจซื้อ แต่คนที่ต้องใช้จริงคือพนักงาน ซึ่งทำให้ยากมากในการอธิบายให้เจ้าของเข้าใจความต้องการของผู้ใช้จริงในองค์กร

ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เราต้องมานั่งตั้งคำถามว่า “จะไปต่อยังไงดี” และนั่นแหละ คือจุดตั้งต้นของ “เมพ”

วันที่ “ไอเดีย eBook” จุดติด เพราะ iPad เปลี่ยนโลก

ช่วงปี 2010 –2011  เป็น “ยุคทองของร้านหนังสือไทย” ร้านใหญ่ขยายสาขาเต็มประเทศ แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันคือช่วงที่ปัญหาของ “ระบบจัดจำหน่าย” ชัดเจนที่สุด

“เล่มที่ขายดีจะอยู่บนชั้นได้ไม่กี่อาทิตย์ ส่วนเล่มที่ขายไม่ดี ถูกถอดออกเร็วกว่าเดิมมาก จากเดิมที่เคยได้อยู่ในร้านหนังสือเป็นเดือน ๆ เพราะพื้นที่ชั้นมีจำกัด”

นั่นคือ pain point ของสำนักพิมพ์ เมื่อหนังสือดี ๆ ที่ไม่ใช่Bestseller ไม่มีที่วางในร้าน

ดังนั้น  “eBook” อาจเป็นทางออกที่ดีของทั้งผู้เขียน สำนักพิมพ์ และผู้อ่าน

“ก่อนหน้านั้น ไม่มีใครพูดถึงการอ่านอีบุ๊กบนโทรศัพท์เลยครับ จนวันหนึ่ง iPad เปิดตัว ทุกคนในวงการก็เริ่มคิดว่า นี่ล่ะ เทรนด์อ่านแบบใหม่กำลังมา”

ผู้เล่นหลายรายเริ่มเข้าสู่ตลาดอีบุ๊กพร้อมกัน เช่น Ookbee (ยุคแรกในชื่อ IT Works) รวมถึงสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ  เช่น อมรินทร์, ซีเอ็ด, วิบูลย์กิจ  เวิร์คพอยท์หรือช่อง 3 ที่ต่างพัฒนาแอปของตนเอง

“ตอนเปิดตัวเราก็เป็นหนึ่งในหลายรายนั้นเลยครับ แต่เรามาในมุมคนทำหนังสือที่เข้าใจวงจรชีวิตของมันจริง ๆ”

meb ไม่ได้แข่งด้วยขนาดองค์กร แต่ชนะด้วย “ความเข้าใจและความละเอียด” รู้ว่าทั้งสำนักพิมพ์และคนอ่านต้องการอะไร

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างแพลตฟอร์มอีบุ๊กที่กลายเป็นผู้นำตลาดในเวลาต่อมา

meb ประตูบานใหม่ของนักเขียน

แน่นอนการเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เมื่อต้องไปดีลกับสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ไปคุยแต่ละที่ ต้องอธิบายกันยาว ดังนั้นการจะหาหนังสือมาเข้าแพลตฟอร์ม ในช่วงแรก ๆ มันยากมากจริง ๆ

คราวนี้คิดใหม่ ถ้าสำนักพิมพ์ไม่เปิดประตูให้ งั้นเราชวน “นักเขียนอิสระ” ดีกว่า

จุดเริ่มต้นของตัวคอนเทนต์อยู่ที่นักเขียน เขาเป็นคนสร้างต้นฉบับขึ้นมาอยู่แล้ว หลายคนมีผลงานอยู่ในมือ แต่หมดสัญญากับสำนักพิมพ์ หรือบางคนเขียนเสร็จแต่ไม่มีใครตีพิมพ์ให้

ตอนนั้นเองที่เริ่มมีเทรนด์ “Print on Demand” นักเขียนบางคนก็ลองพิมพ์เอง 500 เล่ม แจกเพื่อนบ้าง ขายบ้าง แต่พอถึงจุดหนึ่งก็เหนื่อย เพราะต้นทุนสูงและส่งของไม่ไหว

เราก็เลยเข้าไปคุยกับเขาแบบง่าย ๆ ว่า

“ยังไงคุณก็ขายไม่ได้เพิ่มแล้ว สำนักพิมพ์ก็ไม่ซื้อลิขสิทธิ์แล้วจะเก็บมันไว้ทำไม ถ้าอย่างนั้นเอามาทำเป็นอีบุ๊กดีไหม?”

นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นจริง ๆ ของ meb จากการชวนคนที่อยากมีหนังสือของตัวเอง แต่ไม่มีที่ให้ลง ให้มาขายบนแพลตฟอร์มเรา

ความใส่ใจเล็ก ๆ ที่สร้างความผูกพันยิ่งใหญ่

ทำไมนักเขียนถึงไว้ใจคุณ? Marketeer สงสัย เพราะแพลตฟอร์มนี้เติบโตขึ้นจากมีหนังสือจากนักเขียนหลักร้อย สู่หลักพันและหลักหมื่นอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนตอบพร้อม ๆ กันด้วยรอยยิ้มว่า

“เพราะเราเข้าใจทั้งนักเขียนและผู้อ่าน จึงรู้ว่าปัญหาของแต่ละฝ่ายอยู่ตรงไหน และจะแก้มันอย่างไรให้ตรงจุด”

ในช่วงนั้น meb ก็ยัง “โนเนม” มากในสายตาของนักเขียน ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้นักเขียนไว้ใจในเรื่องค่าเรื่องคือต้องทำให้แพลตฟอร์มโปร่งใสที่สุด โดยการสร้างระบบ Dashboard แบบเรียลไทม์ ที่นักเขียนสามารถเข้าไปดูได้ทันทีว่า หนังสือขายได้กี่เล่ม มีกี่คนเข้ามาอ่านตัวอย่าง และมียอดวิวเท่าไร

ถ้าไม่แน่ใจก็สามารถลองซื้อหนังสือตัวเองเพื่อดูว่าระบบนับยอดตรงไหม ถ้ายอดไม่ขึ้นก็แปลว่ามีปัญหาได้เลย ซึ่งระบบแบบนี้ในยุคนั้นแทบไม่มีแพลตฟอร์มอีบุ๊กไหนทำมาก่อน

รวมทั้งออกแบบระบบจ่ายเงินให้ง่ายขึ้น ไม่ต้องวางบิล ไม่ต้องรอเช็คเหมือนระบบสำนักพิมพ์เดิม ถึงกำหนดจ่ายเราก็โอนให้ทันที ซึ่งอาจจะดูธรรมดาในวันนี้ แต่ในเวลานั้นถือว่า “ใหม่มาก” สำหรับวงการหนังสือ

ส่วนฝั่งผู้อ่าน ก็เป็นอีกความท้าทายหนึ่ง เพราะอีบุ๊กในตอนนั้น คนยังไม่ชินกับการจ่ายเงินซื้อหนังสือที่ “จับไม่ได้” และขายต่อไม่ได้

“สิ่งที่เราต้องทำอย่างแรกคือ พอจ่ายเงินปุ๊บ หนังสือต้องโผล่ในแอปทันที  ประเด็นถัดมาคือเขาอาจจะยังไม่ไว้ใจแพลตฟอร์ม แต่เขาไว้ใจนักเขียน เพราะคนอ่านส่วนใหญ่จะเชื่อนักเขียนมากกว่าแพลตฟอร์ม ดังนั้นเราต้องทำให้นักเขียนมั่นใจในระบบและการจ่ายเงินของเรา เพื่อที่พวกเขาจะกล้าแนะนำคนอ่านให้มาซื้อที่ meb ด้วยตัวเอง”

เมื่อแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นจากนักเขียนหลักร้อย สู่หลักหมื่น ระบบการจ่ายเงินก็ถูกพัฒนาให้เป็นอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่สิ่งที่ผู้บริหารทั้ง 2 ยืนยันกับ Marketeer คือ เครดิตเทอมสั้น จ่ายตรงทุกเดือน

สิ่งหนึ่งที่ทีมผู้ก่อตั้ง meb มักพูดเสมอคือ “รายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้แหละ ที่ทำให้เรายังอยู่ได้จริง ๆ”

จากทีมเล็กไร้ทุน สู่แพลตฟอร์มอีบุ๊กที่ทำยอดขาย 30 ล้าน

แม้จะเริ่มจากทีมเล็ก ๆ และไม่มีเงินทุนมาก แต่ meb เติบโตเร็วอย่างน่าทึ่ง เพียงสามถึงสี่ปีหลังเปิดตัว ยอดขายของแพลตฟอร์มก็แตะระดับ 30 ล้านบาท  ซึ่งสำหรับธุรกิจดิจิทัลเล็ก ๆ ในเวลานั้นถือว่า “น่าตื่นเต้นมาก”

แต่ในมุมของผู้ก่อตั้ง พวกเขากลับมองว่ายังเป็นตัวเลขที่ “เล็ก”

“เพราะพวกผมเอาไปเทียบกับร้านหนังสือร้านเดียวในห้าง รายได้เขาก็เป็น 10 ล้านแล้ว และถ้าเทียบกับร้านหนังสือใหญ่ในยุคนั้น ที่เครือข่ายสาขาทั่วประเทศ ยอดขายระดับ 4,000–5,000 ล้านบาท เรายังห่างเขามาก”

อย่างไรก็ตาม ตัวเลข 30 ล้านบาทนี้เองที่กลายเป็น “สัญญาณความสำเร็จ” ที่ทำให้บริษัทใหญ่หลายรายเริ่มมองเห็นศักยภาพของบริษัทเล็ก ๆ รายนี้

จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ B2S  เข้ามา

ปี 2014 ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญของ Meb Corporation เมื่อเครือเซ็นทรัล โดย B2S เข้ามาร่วมลงทุน

ผู้บริหารของ meb ยอมรับว่าช่วงนั้นเราต้องการพาร์ทเนอร์เข้ามาต่อยอดธุรกิจ เพราะกำลังเจอกับคู่แข่งที่กำลังโตมาก ๆ ในหลาย มิติ ถ้าเรายังยืนยันจะลุยเดี่ยวอาจจะมีปัญหา

“B2S  ได้ช่วยเปิดประตู ให้สำนักพิมพ์รายใหญ่ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่ยอมคุยด้วย หันมาให้ความร่วมมือมากขึ้น ที่สำคัญ B2S ยังเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้ยกระดับความน่าเชื่อถือของเราไปพร้อมกันด้วย”

รวมทั้งยังช่วย“จัดระบบภายใน” ให้บริษัทมีโครงสร้างชัดเจนขึ้น ทั้งด้านการเงิน การบัญชี และการบริหารบุคลากร

จากนั้น meb ก็ก้าวสู่บิ๊กสเต็ปแรกของการเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับยอดขายหนังสือเล่มของสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ ลดลง

ปีแรกหลังเข้ามาเป็นพันธมิตรกับ B2S รายได้เพิ่มเป็น 80 ล้านบาท และเป็น 160 ล้านบาทในปีต่อมา

แต่ช่วงนี้ก็ยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของ meb เพราะเทิร์นนิ่งพอยท์ที่ใหญ่สุดต่อมาก็คือ “ช่วง COVID‑19”

วิกฤติของโควิด โอกาสของ อีบุ๊กไทย

ช่วงวิกฤตโควิด‑19 ร้านหนังสือทั่วประเทศถูกปิดชั่วคราว คนไม่สามารถเดินเข้าห้างได้ ยอดขายหนังสือเล่มหายไปแทบทั้งหมด ผู้อ่านยังอยากอ่านหนังสือ เพียงแต่ “หาซื้อไม่ได้”

บริษัทจึงพลิกวิกฤตเป็นโอกาส จัดกิจกรรมและโปรโมชั่นออนไลน์อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในแคมเปญที่โด่งดังคือ “สัปดาห์หนังสือที่บ้าน”  ซึ่งตั้งขึ้นในเวลาไม่กี่วัน เพื่อแทนงาน “สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ” ที่จัดไม่ได้ในปีนั้น และยังกลายเป็นกิจกรรมออนไลน์หลักที่จัดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

แม้หลังจากนั้นการเติบโตจะเริ่มชะลอลงเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนอีกครั้ง แต่โควิดก็ถือเป็น “ช่วงทองของอีบุ๊กไทย” อย่างแท้จริง

ในขณะที่คู่แข่งรายใหญ่อื่น ๆ อาจมุ่งมั่นในเรื่องระดมทุน ขยายแพลตฟอร์มอื่น และหวังจะบุกต่างประเทศ แต่ meb โฟกัสชัดในตลาดประเทศไทย ทำให้ค่อย ๆ เก็บส่วนแบ่งตลาดกลับมาได้มากขึ้น จนกลายเป็นผู้นำตลาดอีบุ๊กในไทยอย่างที่เห็นทุกวันนี้

ระหว่างทางไม่เคยหยุดพัฒนา

“เรามาจากบริษัทเล็กที่ผู้บริหารยังมีแพชชั่นกับตัวเมนบิสซิเนสอยู่” หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเล่าย้อน “มันเลยทำให้เราสามารถลงดีเทลได้เยอะ  ตั้งแต่เรื่องพัฒนาผลิตภัณฑ์จนถึงแพลตฟอร์ม โดยเราจะไม่ไปเสียเวลากับเรื่องอื่น ๆ”

เขาย้อนให้ฟังถึงช่วงปี 2014 ที่ meb เพิ่งเริ่มจับมือกับเซ็นทรัล และเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนผ่านจาก “ไอแพด” มาสู่ “ไอโฟนจอใหญ่”

ตอนนั้น ไอโฟน 6 เพิ่งออกมา จอมันคมขึ้น ใหญ่ขึ้นจนอ่านหนังสือได้จริงจัง เราก็คิดว่า ‘ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำให้อ่านอีบุ๊กในมือถือได้ดีเหมือนในแท็บเล็ต’ ก็เลยเป็นเจ้าแรกที่ซัพพอร์ตทั้ง PDF และ ePub ในร้านเดียวกัน

“เรารู้เลยว่าสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ยังไม่ทำไฟล์แบบนั้นหรอก เราก็เลยต้องทำเองทั้งหมด ทั้งดีไซน์ ทั้งเทคนิค ทั้งการซัพพอร์ตลูกค้า”

อีกหนึ่งดีเทลที่ทีมภูมิใจคือการเป็นเจ้าแรกที่ทำให้ “การ์ตูนญี่ปุ่น” อ่านได้ถูกต้องในมือถือไทย

“ตอนนั้นผมไปคุยกับทุกสำนักพิมพ์เลย ทั้ง สยามอินเตอร์ วิบูลย์กิจ พยายามชวนให้ลองทำดู ตอนแรกญี่ปุ่นยังไม่สนใจจะมาขายเลย เราก็วิ่งคุยอยู่หลายปี”

จนวันหนึ่งเขาเริ่มเปิดใจ ส่งตัวแทนมาคุยเอง Meb เลยกลายเป็นเจ้าแรกในไทยที่ได้รับลิขสิทธิ์การ์ตูนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ

“ตอนนั้นไฟล์ที่ส่งมายังอ่านกลับด้านอยู่เลยครับ เพราะฝั่งญี่ปุ่นไม่รู้ว่าระบบเราต้องอ่านจากขวาไปซ้าย ต้องมานั่งปรับกันเองทุกขั้นตอน”

พวกเขาหัวเราะเมื่อนึกถึงถึงความยากในวันนั้น

มีอีบุ๊ก ต้องมีหนังสือเล่ม

“เพราะเราไม่อยากให้ความสำเร็จของอีบุ๊ก กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้หนังสือเล่มขายไม่ออก”

หากสำนักพิมพ์อยู่ไม่ได้ สุดท้ายอีบุ๊กก็จะไม่มีคอนเทนต์ใหม่ ๆ เข้ามาเช่นกัน

“เราจึงพยายามบอกเสมอว่า อย่าเล่นสงครามราคา ให้ผู้อ่านเป็นคนเลือกเองว่าจะอ่านแบบไหน อีบุ๊กหรือหนังสือเล่ม แล้วแต่ความสะดวกของเขา”

สิ่งหนึ่งที่ทีม meb ย้ำเสมอคือ “ความเสถียรของแพลตฟอร์ม”

“เราอยู่มามากกว่า 10 ปี คนอ่านมั่นใจได้ว่า Meb จะไม่หายไปกลางทาง เพราะนี่ไม่ใช่งานอดิเรก แต่คือสิ่งที่เราทุ่มเทจริง ๆ”

หนังสือเล่มหนึ่งมีต้นทุนหลายส่วน ทั้งค่าลิขสิทธิ์ ค่าบรรณาธิการ ค่าทีมแปล ค่าพิมพ์ ค่ากระดาษ  ซึ่งเป็น fixed cost ที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว ถ้าขายไม่ถึงจุดคุ้มทุนก็ขาดทุน แต่ถ้าขายได้เยอะจนชนะค่าพิมพ์ได้ กำไรถึงจะเกิดขึ้น

“แต่กับอีบุ๊ก มันต่างกัน ถึงจะมี fixed cost เหมือนกัน แต่ไม่มีต้นทุนแปรผันจากการพิมพ์ ไม่ต้องจ่ายค่ากระดาษหรือค่าขนส่ง สมการกำไร ขาดทุนเลยคนละแบบ”

วันนี้สำนักพิมพ์ต้องทำทั้งสองแบบอยู่ดี เพราะกลุ่มผู้อ่านไม่เหมือนกัน คนหนึ่งชอบเล่มกระดาษ อีกคนอ่านอีบุ๊ก ถ้าทำแต่อีบุ๊กอย่างเดียว ยอดขายรวมจะไม่คุ้ม แต่ถ้ามีเล่มด้วย มันช่วยกระจายต้นทุนของทีมได้ดีขึ้น

ReadAWrite  กลยุทธ์ต่อยอดของ MEB จากปลายน้ำ สู่ต้นน้ำ

ReadAWrite เกิดขึ้นในปี 2017 จากการมองเห็นโอกาสในตลาดนิยายออนไลน์ยุคใหม่ ที่ก่อนหน้านั้นผู้อ่านและนักเขียนต่างรวมตัวกันอยู่บนเว็บบอร์ดยอดนิยม หรือเว็บเฉพาะกลุ่ม  ส่วนใหญ่เป็นแพลตฟอร์ม “อ่านฟรี–ลงฟรี” มีรายได้จากโฆษณาแบนเนอร์เป็นหลัก

โมเดลเหล่านี้ทำให้นักเขียนไม่ได้รายได้ และผู้อ่านไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ต้องแลกกับการดูโฆษณาแทน ขณะที่คอนเทนต์ยอดนิยมจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ ก็มักจะถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์ หรือกลายมาเป็นอีบุ๊กขายบน Meb ในภายหลัง

“พอวันหนึ่งถ้าเจ้าต้นน้ำเริ่มคิดว่า ‘ทำไม”ไม่ขายเอง แล้วหันมาพัฒนาแอป เก็บรายได้จากในแอป และเริ่มจัดระบบแพลตฟอร์มให้รองรับการขายโดยตรง  มันทำให้เราได้ทบทวนว่า ถ้าวันหนึ่ง  เว็บใหญ่ ๆ  ขายเอง  กระแสรายได้อาจจะเปลี่ยนทิศ ไม่ไหลลงปลายน้ำอย่างเราอีกต่อไป

จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้สร้าง ReadAWrite พื้นที่ใหม่ที่เปิดโอกาสให้นักเขียนเผยแพร่ผลงาน และสร้างรายได้โดยตรงจากผู้อ่าน

“เราต้องใช้เวลาหลายปี กว่าจะกลูม หรือสร้างระบบให้มันอยู่ตัวได้จริง ๆ”

ช่วงแรกมันยังเป็นนิยายบรรยายธรรมดา ยังไม่มี ‘นิยายแชต’ แบบทุกวันนี้ด้วยซ้ำ คอนเทนต์ก็ไม่ค่อยมี ต้องอาศัย ชวนนักเขียนที่อยู่ตามเว็บต่าง ๆ ให้ลองมาลงกันดู แต่ก็ยากนะครับ เพราะนักเขียนส่วนใหญ่ตอนนั้นเขามีที่อยู่แล้วบนเว็บบอร์ดต่าง ๆ แล้วจะมาลงซ้ำอีกทำไม

กลยุทธ์ต่าง ๆ จึงเริ่มต้นขึ้น

หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาฟังก์ชันเชื่อมระบบระหว่าง meb และ ReadAWrite เพื่อให้แพลตฟอร์มมีคอนเทนต์เร็วขึ้น

“เช่น เข้าไปใน Meb กดปุ่มเดียว ก็จะส่งตัวอย่างหนังสือเล่มนั้นไปโผล่ที่ ReadAWrite ทันที ถ้าอ่านตัวอย่างใน Meb ต้องโหลดแอป แต่ถ้าอ่านใน ReadAWrite ก็อ่านได้เลยผ่านเว็บ”

อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้เป็นเพียง “จุดเริ่ม” เพื่อเติมคอนเทนต์ให้แพลตฟอร์มในระยะเริ่มต้นเท่านั้น เป้าหมายจริงของ ReadAWrite คือการสร้างพื้นที่ให้นักเขียนรุ่นใหม่ได้เผยแพร่ผลงานต้นฉบับโดยตรง ไม่ใช่แค่การนำตัวอย่างจาก Meb มาแสดง

“เรายังคิดง่าย ๆ ว่า ถ้าอ่านฟรีแล้วนักเขียนไม่ได้อะไรเลย มันก็อยู่ไม่ได้นาน ก็เลยเพิ่มฟีเจอร์พวก ‘สติกเกอร์’ หรือ ‘ของขวัญ’ ให้คนอ่านส่งได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องพิมพ์คอมเมนต์ยาว ๆ เป็นอีกทางที่ช่วยสร้างรายได้และกำลังใจไปพร้อมกัน”

meb ทำตรงนี้หลายปี กว่าจะมีนักเขียนเริ่มเข้ามา เอาเรื่องเต็มมาลง แล้วก็เริ่มมีระบบขายแบบเสียเงินจริง ๆ

วันนี้ ReadAWrite ยังเปิดให้อ่านฟรีเกือบทั้งหมด ราว 95–99% ของคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม ยังคงเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนอีกไม่กี่เปอร์เซ็นต์ติดเหรียญ เพื่อให้นักเขียนมีรายได้จากผู้อ่านที่อยากสนับสนุนผลงาน

วิถีของ meb

สิ่งหนึ่งที่ meb ทำตั้งแต่ต้นคือ  เปิดพื้นที่การอ่านในทุกแนว ทั้งชาย–หญิง, ชาย–ชาย, หญิง–หญิง โดยแยกหมวดหมู่ชัดเจน

“ตอนนั้นร้านหนังสือบางแห่งยังไม่ให้ขายนิยายแนวนี้เลยด้วยซ้ำ มีดราม่าถึงขั้นผู้ปกครองร้องเรียนว่าทำไมผู้หญิงกอดกันได้ยังไง บอยเลิฟ เกิลเลิฟมีปัญหาหมด แต่เรายืนยันว่า มันคือรูปแบบการเล่าเรื่องแบบหนึ่ง ไม่ได้ผิดอะไร แค่ต้องจัดหมวดหมู่ให้เหมาะ ถ้าใครไม่อยากเห็นหมวดไหน ก็มีปุ่มให้กดปิดได้เลย”

ผู้บริหารยืนยันว่า วันนี้อันดับ Top 5 มีปนหลายแนวคือ จีนโบราณ นิยายรัก ชาย–หญิง / บอยเลิฟ / เกอร์ลเลิฟ / และการ์ตูน

ข้างต้นคือหนังสือที่ทำเงินซึ่งต้องทำตามกระแส แต่ลึก ๆ ลงไปเขาบอกว่า

“เรากำลังให้ความสำคัญในกลุ่มความรู้ โดยเฉพาะหนังสือแปลคุณภาพจากต่างประเทศ หลายสำนักพิมพ์เริ่มปรับเข้ามา เช่น Bookscape, Gypsy ก็เอามาขายมากขึ้น หรือ Welearn ก็เริ่มคุยถามรายละเอียดมากขึ้น เป็นสัญญาณที่ดี”

 ในเมื่ออีบุ๊กเหมือนเป็นการเช่าอ่าน ต้องเจอความเสี่ยงมากมายกว่าหนังสือเล่ม แต่ทำไมบางครั้งราคาอีบุ๊กเท่ากันหรือแพงกว่าหนังสือเล่ม

เป็นคำถามหนึ่งที่ Marketeer สงสัย

“ที่จริงกติกาของเราเรียบง่ายครับคือ อีบุ๊กไม่ควรแพงกว่าเล่ม เท่ากันหรือต่ำกว่าคือดีที่สุด”

แต่ในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัด เช่น นโยบายราคาของสำนักพิมพ์ หรือเงื่อนไขกับต่างประเทศ “อีบุ๊กไม่ใช่สินค้าควบคุม ใครไม่พอใจก็เลือก ‘ไม่ซื้อ’ ได้”

เทียบกับต่างประเทศ “อย่าง Amazon เขาเป็นฝ่ายกำหนดราคาได้เพราะส่วนแบ่งตลาดมหาศาล แต่บริบทไทยยังไม่ใช่แบบนั้น”

Marketeer ถามว่ามีความเห็นอย่างไรกับคำว่า “คนไทยอ่านหนังสือน้อยลง”

ประโยคนี้มันไวรัลมากกว่าความจริงครับ” ผู้บริหาร Meb ตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ ก่อนอธิบายว่า เวลามีดราม่า คนก็รีบแชร์สรุปสั้น ๆ กันไป ทั้งที่ภาพใหญ่ซับซ้อนกว่านั้น

“พอประโยคตั้งต้นผิด คุณก็จะคิดว่าอย่างอื่นผิดตามไปหมด ซึ่งไม่แฟร์กับข้อเท็จจริง”

ก่อนจะสรุปว่า จริง ๆ คนไทยอ่านเยอะมาก แต่ย้ายที่อ่านเป็นในมือถือ โซเชียล แพลตฟอร์มดิจิทัล เพราะทุกสื่อวันนี้ ‘ต้องอ่าน’ แทบทั้งนั้น

“รายได้เราขึ้นเป็นหลักพันล้านต่อปีต่อเนื่อง กำไรก็แข็งแรง จึงไม่ใช่ข้อถกเถียงว่าคนไทยไม่อ่าน” หากแต่เป็น “การเปลี่ยนรูปแบบและพฤติกรรมการอ่าน” มากกว่า

ถึงแม้วันนี้ Meb เติบโตขึ้นมากอย่างแข็งแกร่ง แต่ผู้บริหารบอกว่า

“ไม่มีอะไรเแน่นอนหรอกครับ เราพูดว่าไม่มีวันล้มไม่ได้หรอก สิ่งที่ทำได้คือต้องรู้เท่าทัน เตรียมแผน 2 แผน 3 ไว้เสมอ เราเลยไม่ขยายแค่แนวดิ่งอ่านออนไลน์อย่างเดียว แต่ไปในแนวขวางด้วย”

ตัวอย่างเช่น

การให้บริษัทลูกเข้าไปลงทุนใน Moresheet.co แพลตฟอร์มของการซื้อขายชีทสรุปวิชาต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ล่าสุดกำลังเซ็ตโมเดลใหม่ ๆ ซื้อชีทแล้วได้ติวด้วย

หรือการเข้าไปลงทุนด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ เพราะทุกธุรกิจขึ้นออนไลน์หมด แต่ถ้าไม่ป้องกัน วันหนึ่งสิ่งที่สร้างมาหายได้ในพริบตา  เรื่องนี้น่าจะเป็นเทรนด์ที่สำคัญมากในอนาคต

“เรากำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจขยายพอร์ตอีกหลายอย่าง แต่เราไม่พูด บางอย่างพูดได้แค่ว่ากำลังจะมี แต่ยังไม่บอกว่าคืออะไร หลายคนเลยคิดว่าเราชิว ๆไม่มูฟ ไม่ฉลาด” หัวเราะ

บางครั้ง “ความฉลาด” อาจไม่ใช่การทำทุกอย่างที่อยากทำ หรือการคิดว่ารู้ทุกอย่างล่วงหน้า แต่อยู่ที่การรู้ว่าเมื่อถึงเวลา องค์กรพร้อมจะไป

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้  meb ยังไม่หยุด “อ่าน” โลก และ “เขียน” เส้นทางของตัวเองต่อไป


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer