มาม่า กับกลยุทธ์ Sound of Flavours เมื่อรสชาติที่คุ้นเคย กลับมามีชีวิตผ่านเสียงดนตรีของหัวใจ

บางครั้ง “ความทรงจำ” ไม่ได้อยู่ในภาพถ่ายหรือข้อความเก่า ๆ แต่มันอยู่ในเสียงเล็ก ๆ ที่เราเคยได้ยิน และรสที่เราเคยลิ้มลอง

เสียงน้ำเดือดในหม้อ เสียงซองเครื่องปรุงถูกฉีก เสียงช้อน/ตะเกียบกระทบขอบชาม หรือกลิ่นที่ลอยคลุ้งขึ้นจากในครัว

ทั้งหมดนั้นคือภาษาของ “มาม่า” อาหารที่อยู่กับคนไทยเกินครึ่งศตวรรษ …ไม่ใช่แค่ในยามหิว แต่ในทุกช่วงชีวิตที่มีความรู้สึก

และวันนี้ มาม่ามาพร้อมแคมเปญใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เพื่อเล่า “รสชาติ” แบบเดิม แต่เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศด้วย “เสียงของรสชาติ” ผ่านภาษาดนตรีภายใต้ชื่อ “MAMA : Sound of Flavours”

โปรเจกต์ที่ไม่ได้เพียงเปลี่ยนรสให้กลายเป็นเพลง แต่เปลี่ยน “ความรู้สึกของการกิน” ให้กลายเป็น “ประสบการณ์การฟัง” ที่อบอุ่นและอิ่มในใจ

“เสียงที่เกิดจากรสชาติ” จากสิ่งที่จับต้องไม่ได้ สู่ภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด

เพชร พะเนียงเวทย์ (คุณโจ) กรรมการบริษัทและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เล่าว่า จุดเริ่มต้นของแคมเปญนี้มาจากคำถามในหัวที่เหมือนคิดเล่น ๆ ว่า “ถ้ารสชาติของอาหารมีเสียงเป็นของตัวเอง จะฟังออกมาเป็นแบบไหน” แต่นั่นกลับกลายเป็นแรงบันดาลใจที่อยากทำให้เกิดขึ้นจริง

“ผมว่ารสกับเสียง มันมีพลังคล้ายกันมาก ทั้งคู่ปลุกความทรงจำได้โดยไม่ต้องอธิบาย”

และเมื่อความคิดนี้ถูกสานต่อ จึงนำพามาสู่การร่วมมือกับศิลปินที่เข้าใจ “ภาษาแห่งอารมณ์” ได้ดีที่สุด อย่าง “โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร”

“ตั้งแต่วันแรกที่เราคุยกันถึงโปรโจกต์นี้ โต๋ไม่ได้ถามเลยว่าอยากได้เพลงแบบไหน เขาถามว่าอยากให้คนฟัง ‘รู้สึกอย่างไร’ ซึ่งนั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ทุกอย่างเข้าที่”

สำหรับแบรนด์อย่างมาม่าที่ตีความว่า “เสียงคือภาษาสากลที่ไม่มีข้อจำกัดของวัยหรือภาษา” แต่สำหรับนักดนตรีอย่างโต๋ “เสียงคือความทรงจำที่ทุกคนมีร่วมกัน”

“สำหรับโต๋เสียงของมาม่า มันไม่ใช่เสียงของแบรนด์ แต่คือเสียงของความรู้สึกที่ทุกคนมีร่วมกัน คือเสียงของชีวิต เสียงที่คนในบ้านรู้จักโดยไม่ต้องเปิดปากพูด เสียงของความห่วงใย ความอบอุ่น และการได้กลับบ้าน”

โต๋เล่าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมอธิบายต่อว่า

พอผมได้ยินคำว่า Sound of Flavours ผมรู้เลยว่ามันคือโลกที่ผมอยากเข้าไปเดินเล่น เพราะเสียงกับรส มันเหมือนกันตรงที่มันไม่ต้องแปล มันสื่อสารตรงไปถึงหัวใจ

เวลาเราฟังเพลงโปรด เพลงนั้นจะพาเรากลับไปหาคนคนหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง หรือกลิ่นหนึ่งในชีวิต โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย ซึ่งรสชาติก็เหมือนกัน แค่ได้กลิ่นหรือได้ชิม มันก็พาเรากลับไปได้ทันที”

โต๋บอกเล่าด้วยคำพูดที่เสมือนกำลังพรมตัวโน้ตผ่านปลายนิ้วให้เราเคลิ้มและเห็นภาพตามว่า เสียงเป็นเหมือน “สะพาน” ที่พามนุษย์กลับไปเชื่อมกับช่วงเวลาที่มีความสุข

และนั่นคือที่มาของแนวคิด Sound of Flavours”  การเปลี่ยนรสชาติที่อยู่ในความทรงจำ ให้กลายเป็นเสียงที่ทุกคนฟังแล้วรู้สึกได้

“มันอาจดูเป็นเรื่องที่จับต้องยากสำหรับบางคน แต่สำหรับผม มันคือสิ่งที่เข้าใจง่ายที่สุด เพราะมันคือ ‘ความรู้สึก’ ที่เราไม่ต้องพยายามเลย”

จากสปอนเซอร์ สู่ “พาร์ตเนอร์แห่งอารมณ์ร่วม”
ภาษาของเปียโนและรสชาติของความเข้าใจ

เพชร เล่าว่า มาม่าเคยอยู่ในโลกของ Music Marketing มานาน และทำงานร่วมกับโต๋มาหลายครั้ง ทั้งในฐานะผู้สนับสนุนคอนเสิร์ตและแคมเปญอื่น ๆ มากมาย แต่วันนี้แบรนด์ไม่อยากอยู่แค่ในฐานะโลโก้ผู้สนับสนุนบนเวทีอีกต่อไป

“เราค้นพบว่ามาม่ากับโต๋เราพูดภาษาเดียวกับ และมี DNA เดียวกัน คือ เข้าใจอารมณ์ของผู้คน”

จากงาน Piano & I ของโต๋ ไปจนถึง The Legends Concert ล่าสุด ที่แบรนด์ร่วมออกแบบโชว์ด้วยตัวเอง มาม่าได้พัฒนาจากการเป็น Music Sponsor สู่การเป็น “Music Partner” หรือที่เพชรเรียกว่า “พาร์ตเนอร์แห่งอารมณ์ร่วม”

เพชรเล่าว่าครั้งแรกที่ได้คุยกับโต๋ เขาถามว่าโต๋จำคอร์ดเพลงได้อย่างไร และคำตอบที่ได้รับคือ “ผมไม่ได้จำคอร์ดหรอก ผมพูดกับเปียโน มันเป็นภาษาของผม” นั่นทำให้เพชรประทับใจเป็นอย่างมาก และโต๋เลือกโต๋เป็นตัวแทนที่ในการสื่อสารแคมเปญนี้

ในขณะที่ศิลปินบางคนเล่นดนตรี แต่โต๋เขา ‘พูดด้วยดนตรี’ เหมือนกับมาม่าที่ไม่ได้แค่ ‘ขายอาหาร’ แต่ ‘พูดกับผู้คน’ ผ่านความรู้สึก”

4 เพลง 4 รสชาติแห่งอารมณ์ เมื่อความทรงจำถูกแปลเป็นดนตรี

โต๋เล่าว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ “แต่งเพลง” ให้มาม่า แต่ตั้งใจ “สร้างเสียง” ที่ทำให้คนฟังรู้สึกถึงความทรงจำ

“ตอนคิดงาน ผมนึกถึงภาพของใครสักคนที่กำลังต้มมาม่าในห้องพักเล็ก ๆ แล้วได้ยินเสียงน้ำเดือด ผมอยากให้เปียโนทำหน้าที่เหมือนน้ำในหม้อที่ค่อย ๆ เดือดขึ้น เริ่มจากความเงียบ แล้วค่อยกลายเป็นความอบอุ่น”

ในอัลบั้ม “MAMA : Sound of Flavours” จะประกอบไปด้วย 4 เพลง 4 รสชาติแห่งอารมณ์ โดยเปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลแรก “นิดนึงพอ” ขับร้องโดย อิ้งค์-วรันธร เปานิล จะเป็นตัวแทนรสชาติของความคิดถึงและความอบอุ่น

ส่วนอีกสามเพลงที่ยังไม่เปิดเผย คือตัวแทนรสชาติของ “ความมีพลังและชีวิตชีวา” “ความสมหวัง” และ “ความอบอุ่นของการดูแลกัน” ซึ่งจะมีให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง

เพชรพูดพลางยิ้มว่า “อีกสามเพลงขอยังไม่บอก ให้คนเดาเอาเองก็สนุกดี ว่ารสไหนจะเป็นรสของความสมหวัง และรสไหนคือความอบอุ่นของการดูแลกัน”

ทั้งนี้ ทุกเพลงในอัลบั้มไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นแค่การฟัง แต่เป็นการ “สัมผัส” และทุกสัมผัสถูกเชื่อมโยงเข้ากับความทรงจำของมาม่าในแต่ละช่วงวัยของผู้บริโภค

“เราไม่ได้นิยามเพลงไหนคือรสอะไร เพราะถ้าเพลงมันดีจริง คนฟังจะรู้เอง และเมื่อเสียงแรกของเปียโนดังขึ้น คุณอาจยังไม่รู้ว่ามันคือรสอะไร แต่ในใจลึก ๆ มันพาคุณกลับไปยังช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต ที่มาม่าเคยอยู่ตรงนั้นเสมอ ทุกเพลงในอัลบั้มนี้จึงไม่ได้ทำให้คนฟังอย่างเดียว แต่มันชวนให้คนสัมผัสด้วยหัวใจอย่างแท้จริง” โต๋กล่าว

แคมเปญแห่งความรู้สึก การตลาดของ มาม่า ที่ไม่วัดด้วยยอดขาย

เมื่อถามถึงเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่คาดหวัง เพชรพูดตรง ๆ ว่า

“Sound of Flavours ไม่ได้สร้างมาเพื่อยอดขาย แต่มันคือการคืนอารมณ์ให้แบรนด์ ให้เรากลับไปสื่อสารด้วยความรู้สึกอีกครั้ง

เราไม่ได้สนใจเลยว่า 4 เพลงนี้จะทำให้มาม่าขายเพิ่มได้กี่ซอง แต่เราใส่ใจที่ว่า เพลงนี้จะทำให้บ้านหนึ่งหลังกลับมามีบทสนทนาร่วมกันได้หรือไม่ และถ้าคำตอบคือ ‘ได้’ เท่ากับว่า เสียงของมาม่าในครั้งนี้ ไม่ได้แค่ร้อง แต่ ‘ก้องอยู่ในใจ’ ของคนไทยทุกเจน”

ในโลกที่แบรนด์ส่วนใหญ่แข่งกันวัดผลด้วยตัวเลข มาม่ากลับเลือกวัดผลด้วย “ความรู้สึก” ที่คนมีร่วมกัน และสิ่งที่เกิดขึ้นคือการสร้าง “Emotional Bonding” ครั้งใหม่ ที่ไม่ได้แค่เพิ่ม Awareness แต่เพิ่ม “ความอบอุ่นในใจ” ให้ผู้บริโภค

เพชรยังเล่าต่อว่า แบรนด์มีแผนที่จะยกระดับความพิเศษของอัลบั้มนี้ ในรูปแบบของ “Vinyl Limited Edition 500 แผ่น” ซึ่งจะ “ไม่จำหน่าย” แต่แจกให้คนที่ “อยากได้จริง ๆ” พร้อมรันนัมเบอร์เฉพาะแต่ละแผ่น

“ในโลกที่เร่งรีบ ยุคที่ทุกอย่างอยู่บนสตรีมมิง แต่เรายังอยากสร้างของจริงที่คนจะได้จับ เพราะในวันที่ทุกอย่างกดฟังได้ในวินาทีเดียว ของบางอย่างยังต้องหมุนด้วยมือ เพื่อจะฟังมันอย่างตั้งใจ สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าของ ‘MAMA : Sound of Flavours’ Vinyl Limited Edition รอติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ในช่องทางโซเชียลของมาม่า”

โต๋ทิ้งท้ายว่าา “ดนตรีก็เหมือนมาม่า มันต้องใช้เวลาแป๊บหนึ่งถึงจะอร่อย และถ้าเราตั้งใจฟัง มันจะอบอุ่นเหมือนรสชาติที่เรารู้จักดี”

เพราะทุกเสียงคือรสชาติของความรู้สึกที่ยัง “ก้องอยู่ในใจ” เสมอ ติดตาม 4 เพลง 4 ความรู้สึก ในโปรเจกต์ “MAMA : Sound of Flavours” ได้ทางคลื่นวิทยุ สตรีมมิ่ง และโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer