หนึ่งในประเภทคอนเทนต์ที่อยู่ในช่วงขาลงในปัจจุบันคือ กลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งบริษัทที่เจ็บปวดกับเรื่องนี้มากสุดคือ Disney เพราะหนังแนวกลุ่มนี้เกือบทุกเรื่องที่ออกมาช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กลับไม่ทำรายได้ถล่มทลายเหมือนเคย 

ทว่าในฝั่งซีรีส์ยังมีเรื่องหนึ่งแรงเทรนด์ซูเปอร์ฮีโร่หมดพลังขึ้นมาได้ นั่นคือ The Boys ยืนยันได้จากสตรีมต่อเนื่องใน Prime Video ของ Amazon มาแล้วถึง 4 ซีซั่น แถมยังแอนิเมชั่นและซีรีส์ภาคแยกออกมาอีกด้วย 

ความน่าสนใจของ The Boys ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะนี่คือซีรีส์ที่ไอเดียแสบสันต์ฉีกขนบ ทั้งพลิกให้เหล่าซูเปอร์ฮีโร่กลายเป็นตัวร้าย และตกเป็นฝ่ายถูกคนธรรมดาไล่ล่า นอกจากนี้ยังสะท้อนความเป็นจริง ทั้งสังคม การเมือง พร้อมเตือนสติผู้ชมไม่ให้ยกย่องผู้ที่มีภาพลักษณ์ดีมากจนเกินไปอีกด้วย 

The Boys เริ่มด้วยการเป็นหนังสือการ์ตูนจากไอเดียของ การ์ธ เอนนิส และ ดาริก โรเบอร์สัน ซึ่งแม้ช่วงแรกๆ ค่ายการ์ตูน DC จะซื้อไอเดียนี้ นำมาสู่การให้ไฟเขียวให้ตีพิมพ์และวางจำหน่าย 

แต่ในปี 2007 หลังออกมา 6 เล่มก็สั่งหยุด เพราะรับไม่ได้กับ การที่ซูเปอร์ฮีโร่ดูเลวร้ายมากเกินไป ขณะที่การเสียดสีกับฉากรุนแรงต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่ทำให้คู่ผู้สร้างต้องหอบ The Boys ไปขายค่ายการ์ตูนอื่น และเป็นค่าย Dynamite ที่อ้าแขนรับ 

ปี 2009 The Boys ไปได้สวย จนมีภาคแยกในชื่อ Herogasm ออกมา และเริ่มไปเตะตาค่ายหนัง-ค่ายซีรีส์ โดยมี Columbia เป็นค่ายแรกที่ซื้อไป พร้อมวางโปรเจ็กต์สร้างเป็นหนังเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ฝันของแฟนๆ จากเวอร์ชั่นหนังสือการ์ตูนที่จะได้เห็น The Boys ขึ้นจอก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะ Columbia ไม่ให้ไฟเขียวสร้างเป็นหนังเสียที และเมื่อโปรเจกต์ตกมาถึงมือ Paramount กับ Cinemax ก็ยังติดไฟแดงอยู่ดี จนกล่าวได้ว่าระหว่างปี 2012-2016 คือเป็นยุคมืดของ The Boys 

ที่สุดยุคมืดก็จบลงโดย Amazon Studios ปีกธุรกิจคอนเทนต์ของยักษ์อี-คอมเมิร์ซ Amazon ให้ความสนใจมาซื้อไปและไฟเขียวให้ทำเป็นซีรีส์ลง Prime Video แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งใต้ชายคาเพราะจะหวังเพิ่มยอดผู้ชม 

ปี 2019 The Boys ในรูปแบบซีรีส์ที่เล่าเรื่องของซูเปอร์ฮีโร่ที่หลงตัวเองและใช้อำนาจ-พลังในทางมิชอบ จนกลุ่มคนธรรมดาที่ไม่พอใจและเคยได้ผลกระทบจากพฤติกรรมเหล่านี้ รวมทีมเอาคืนซูเปอร์ฮีโร่อย่างสาสม ในซีซั่นแรกก็สตรีมทาง Prime Video 

ปรากฏว่าสร้างกระแสได้พอสมควร และเริ่มถูกกล่าวถึงกันปากต่อปาก โดยนอกจากธีมการเอาคืนซูเปอร์ฮีโร่ตัวร้ายแล้ว The Boys ยังนำ “จุดขาย” จากเวอร์ชั่นหนังสือการ์ตูน อย่างการเสียดสี ความรุนแรงแบบถึงเลือดถึงเนื้อ ต่อเนื่องไปถึงโยงกับโลกความจริงเป็นในยุคนั้น มาขึ้นจออีกด้วย 

นอกจากนี้ ตัวละครกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นตัวร้ายก็อิงมาจากซูเปอร์ฮีโร่ดังๆ เช่น Homelander ก็คล้าย Superman ส่วน A-Train ก็คือ The Flash และ The Deep ก็คือ Aquaman 

มีการวิเคราะห์กันว่าที่ The Boys ได้ลงสตรีมในปี 2019 เพราะอาจหวังพึ่งขาขึ้นของคอนเทนต์ซูเปอร์ฮีโร่ จากหนัง Avengers Endgame แต่กลายเป็นว่า หลังจากนั้นคอนเทนต์ซูเปอร์ฮีโร่ก็กลับร่วง โดยแม้ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์โควิด ทว่าก็ต้องยอมรับว่าเกิดจากการมีคอนเทนต์แบบนี้ออกมาจนท่วมด้วย 

อย่างไรก็ตาม ขาลงดังกล่าวกลับเข้าทาง The Boys เพราะทำให้ทั้งผู้ชมทั่วไปและแฟนๆคอนเทนต์ซูเปอร์ฮีโร่ต่างก็อยากดูเรื่องราวซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่างออกไป ซึ่ง The Boys ก็ตอบโจทย์ได้แบบเกินคาดด้วยการพลิกให้บรรดาผู้มีพลังเหนือมนุษย์กลายเป็นตัวร้ายนั่นเอง 

กระแสของซีรีส์ The Boys ยังกระตุ้นให้ค่ายคอนเทนต์ เริ่มกล้าทำคอนเทนต์ซูเปอร์ฮีโร่แบบฉีกกรอบ โดยให้บรรดาตัวละครพลังเหนือมนุษย์ มีพฤติกรรมแสบๆ และฉากรุนแรงต่างๆ เพิ่มเข้ามา เช่นที่เห็นในซีรีส์ Peacemaker และ หนัง Deadpool & Wolverine   

จากนั้น The Boys ก็ได้ไฟเขียวให้ทำต่อมา 4 ซีซั่น พร้อมกับเอนิเมชั่นและซีรีส์ภาคแยกในชื่อ Gen V สองซีซั่น ซึ่งเรื่องหลังสุดเพิ่งออกมาในปี 2025 และจะเชื่อมไปสู่ The Boys ซีซั่นต่อไปในปี 2026 

อีกประเด็นที่ทำให้ The Boys น่าสนใจและปรากฏในหน้าสื่อเสมอคือ มักจะถูกยกเตือนสติสังคมว่าอย่าไว้ใจผู้มีอำนาจหรือคนภาพลักษณ์ดีมากจนเกินไป เพราะเขาเหล่านั้นอาจใช้อำนาจในทางมิชอบหรือ มีเบื้องหลังน่าสงสัย 

แบบที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และกรณีของคนดังภาพลักษณ์ดีออกตัวช่วยเหลือผู้อื่นแต่กลับเชื่อมโยงกับนักการเมืองประวัติไม่ดีที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในไทย / theguardian, wikipedia 

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer