ในโลกของการทูตยุคใหม่ “เสียงดนตรี” และ “ภาพลักษณ์ของไอดอล” ได้พลิกขึ้นมาเป็นอาวุธที่ทรงพลัง โดยเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเกาหลีใต้เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นฟูผ่านการรื้อฟื้นข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม แต่คือความเป็นไปได้ในการสลับขั้วทางธุรกิจของอุตสาหกรรมบันเทิง ระหว่างเกาหลีใต้กับจีนใน “แดนมังกร”
ย้อนกลับไปในปี 2017 อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้หรือ K-pop เคยถูกแช่แข็งอย่างฉับพลันในตลาดจีนจากมาตรการตอบโต้ระบบขีปนาวุธ THAAD ของสหรัฐฯ ที่เกาหลีใต้อนุญาตให้เข้ามาติดตั้งในประเทศ
นี่ส่งผลให้คอนเสิร์ต K-pop ถูกยกเลิกและซีรีส์เกาหลีใต้หายไปจากหน้าจอชาวจีนนานหลายปี แต่ภายใต้การนำของประธานาธิบดี ลี แจมยอง ที่ดำเนินนโยบาย “การทูตเชิงปฏิบัติ” บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป โดยจากการมาเยือนของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กลายเป็นสัญญาณชัดเจนว่าปักกิ่งพร้อมจะเปิดประตูให้ Soft Power เกาหลีใต้ได้เข้ามา
นักวิเคราะห์มองว่า การที่เกาหลีใต้ยอมโอนอ่อนในประเด็นไต้หวัน โดยการระบุชื่อในเอกสารทางการว่า “China (Taiwan)” คือการแลกเปลี่ยนทางการเมืองที่คุ้มค่าในสายตาของปักกิ่ง

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือวง K-pop ระดับโลกอย่าง BLACKPINK หรือวงไอดอลรุ่นใหม่ของเกาหลีใต้ อาจจะได้รับอนุญาตให้กลับไปจัดคอนเสิร์ตทัวร์ในหัวเมืองใหญ่ของจีนอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นการทวงคืนส่วนแบ่งการตลาดมหาศาลที่เคยสูญเสียไป และเป็นการเติมเต็มภาคบริการที่เกาหลีใต้กำลังเร่งผลักดันใน FTA ฉบับอัปเกรด

ในขณะที่เกาหลีใต้กำลังจะได้อ้าแขนรับ “รางวัล” จากจีน แต่ญี่ปุ่นกำลังได้รับ “บทลงโทษ” โดยความตึงเครียดระหว่างจีนและญี่ปุ่นทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากนายกฯ ซานาเอะ ทากาอิจิ แสดงท่าทีแข็งกร้าวว่าอาจมีการแทรกแซงทางทหารในกรณีไต้หวัน สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมบันเทิงญี่ปุ่น (J-pop) ในจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความแตกต่างในอนาคตของศิลปินอย่าง อายูมิ ฮามาซากิ หนึ่งในนักร้อง J-pop ชื่อดังที่มีฐานแฟนกลุ่มใหญ่อยู่ในจีน และนักร้อง-ไอดอล รวมไปถึงวงดนตรีร่วมชาติเบอร์อื่นๆ ที่ถูกสั่งยกเลิกโชว์ในจีน ทั้งที่ตั๋วขายดีและประกาศวันโชว์เรียบร้อยไปแล้ว พร้อมคาดการณ์ว่าในอนาคต การไปโชว์ในจีนอาจถูกระงับไปก่อนจนกว่าความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นจะดีขึ้น
ฌอน คิง รองประธานอาวุโสจาก Park Strategies ระบุว่า ปักกิ่งกำลังใช้กลยุทธ์ “เลือกข้างและกีดกัน” (Reward and Retribution) โดยการเปิดประตูรับ K-pop เข้ามาเพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคชาวจีน และในขณะเดียวกันก็กดดัน J-pop ให้ตกต่ำลง
สำหรับเกาหลีใต้ การส่งออกวัฒนธรรมไม่ใช่แค่เรื่องของความบันเทิง แต่เป็นกลยุทธ์แก้เกมเศรษฐกิจ หลังจากที่เกาหลีใต้ต้องเผชิญกับการขาดดุลการค้ากับจีนต่อเนื่องมานาน โดยปี 2023 ขาดดุลถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 558,000 ล้านบาท) ซึ่งหนึ่งในนั้น มีการขาดดุลกิมจิจีน รวมอยู่ด้วย
การรุกตลาดภาคบริการผ่าน K-pop, เกม และคอนเทนต์ออนไลน์ จึงเป็นความหวังใหม่ที่จะเข้ามาช่วยดุลสมดุลการค้าที่หายไป เนื่องจากภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 57% ของ GDP จีนในปี 2024 การเข้าถึงตลาดนี้ได้เพียงบางส่วนก็สามารถสร้างเม็ดเงินไหลเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม การเดินเกมของเกาหลีใต้ยังคงมีความเสี่ยง เพราะต้องรักษาสมดุลไม่ให้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนไปกระทบกับความมั่นคงและข้อตกลงเรื่องเรือดำน้ำนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์
ดังนั้นการนำ K-pop กลับเข้าสู่จีนจึงเป็นเหมือนการเดินบนเส้นด้ายที่เกาหลีใต้ต้องประคองทั้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและจุดยืนทางยุทธศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน
จากสถานการณ์นี้จึงสรุปได้ว่า ในเอเชียตะวันออก วัฒนธรรมและอุตสาหกรรมบันเทิงไม่เคยแยกออกจากการเมือง ทว่าความสำเร็จของ K-pop ในการกลับมาครองใจตลาดจีนอีกครั้ง อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลงานเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความแนบเนียนทางการทูตของรัฐบาลในการวางตัวเป็นมิตรกับมังกรจีน ในขณะที่ J-pop ต้องกลายเป็นเหยื่อของความสัมพันธ์ที่แตกร้าว

ส่วนในกรณีที่เกาหลีใต้ทำสำเร็จ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะความสัมพันธของเกาหลีใต้กับจีนกำลังดีวันดีขึ้น และในปี 2025 ก็ส่งผลดีต่อตลาด K-pop ในจีนแล้ว ผ่านงานแฟนมีตที่กลับมาเพิ่มขึ้น นี่จะเป็นโมเดลใหม่ของการใช้ Soft Power นำทางเศรษฐกิจ เพื่อกอบกู้สถานะทางการค้าที่เคยเพลี่ยงพล้ำให้กลับมาแข็งแกร่ง และเป็นการพิสูจน์ว่าในโลกยุคปัจจุบัน การเป็นผู้ชนะในตลาดบันเทิงอาจหมายถึงการชนะใจขั้วอำนาจทางการเมืองด้วยเช่นกัน / koreatimes
