ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในกลุ่มอาเซียนและซีกโลกตะวันตก มักรอให้ใบไม้เปลี่ยนสีจนหมดต้นก่อนจะเริ่มประดับไฟคริสต์มาส แต่สำหรับฟิลิปปินส์ เสียงเพลงและการตกแต่งบ้านเรือนกลับเริ่มต้นขึ้นทันทีที่หน้าปฏิทินเปลี่ยนสู่เดือนกันยายน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเดือนที่ลงท้ายด้วยเสียง “-ber” ตั้งแต่กันยายน (September) ไปจนถึงธันวาคม (December)
วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์นี้ไม่ใช่เพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่เป็นวิถีชีวิตที่ฝังรากลึกในจิตวิญญาณของชาวฟิลิปปินส์ จนทำให้ประเทศหมู่เกาะแห่งนี้เป็นดินแดนที่ฉลองคริสต์มาสยาวนานที่สุดในโลก พลิกฟื้นบรรยากาศอึมครึมของฤดูฝนให้กลายเป็นสวรรค์แห่งแสงสีที่พร้อมมอบรอยยิ้มให้กับผู้คนในทุกย่างก้าว

การที่คริสต์มาสในฟิลิปปินส์ยาวนานกว่าใคร มีรากฐานมาจากความศรัทธาทางศาสนาที่เข้มข้นในฐานะประเทศคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเตรียมตัวล่วงหน้าหลายเดือนสะท้อนถึงความกระตือรือร้นในการรอคอยวันประสูติของพระเยซู
นอกจากนี้ยังมีนัยทางจิตวิทยา เมื่อฤดูฝนอันมืดสลัวพัดมาถึงในช่วงกลางปี ชาวฟิลิปปินส์จึงใช้แสงไฟและเสียงเพลงเป็นเครื่องมือเยียวยาจิตใจและสร้างความหวัง การรอคอยที่ยาวนานนี้จึงกลายเป็นกลไกสร้างความสุขต่อเนื่องเกือบครึ่งปี
การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่นี้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ย้อนกลับไปปี 2022 หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 การใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ช่วงเดือนธันวาคมถึงมกราคมพุ่งสูงกว่าปกติถึง 7% แม้จะอยู่ในสภาวะเงินเฟ้อ
ต่อมาในปี 2023 ผลการศึกษาจาก WorldRemit พบว่าครอบครัวชนชั้นกลางมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยในช่วงเทศกาลสูงถึง 675 ดอลลาร์ (ราว 21,000 บาท) ซึ่งส่วนใหญ่หมดไปกับอาหารมื้อค่ำ Noche Buena และของขวัญ
ขณะที่ปี 2024 ข้อมูลจาก Visa ระบุว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตขึ้น 8% โดยมียอดใช้จ่ายสูงสุดในวันที่ 23 ธันวาคม
สำหรับปี 2025 แม้ค่าครองชีพจะทำให้ผู้คนระมัดระวังมากขึ้น แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงสูง โดยคาดการณ์ว่าเงินที่ชาวฟิลิปปินส์ในต่างประเทศส่งกลับบ้าน เฉพาะเดือนธันวาคมจะสูงถึง 3,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 114,000 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนการเฉลิมฉลองของครอบครัวอย่างเต็มที่
ในปี 2025 นี้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่างร่วมวงสร้างสีสันภายใต้แนวคิด “Bongga” หรือความอลังการ เช่น SM Mall of Asia ห้างสรรพสินค้าใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศที่เนรมิตห้างในธีม “Wicked: For Good” ด้วยสีชมพูและเขียวมรกต
ขณะที่แบรนด์หรูอย่าง Tiffany & Co. และแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Surf ต่างส่งต้นคริสต์มาสยักษ์มาชิงพื้นที่สื่อ แม้แต่แฟชั่นในงานรวมญาติยังถูกกำหนดด้วยธีมสีแห่งปีอย่าง Mocha Mousse เพื่อให้ภาพถ่ายในโซเชียลมีเดียดูโดดเด่นและทันสมัยที่สุด

สำหรับประเทศที่มีแรงงานเกือบ 10% ทำงานในต่างแดน (สร้างมูลค่าถึง 9% ของ GDP) แล้วส่งเงินกลับมาเกิด คริสต์มาสจึงถือเป็นช่วงเวลาเดียวที่พวกเขาจะได้กลับมาพร้อมหน้า บางครอบครัวอาจเป็นการกลับมาของ “เสาหลัก” ครั้งแรกในรอบ 10 ปี บรรยากาศการเตรียมงานจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีการแบ่งหน้าที่เตรียมอาหารแบบ “พ็อตลัค” (Potluck) จัดทำเสื้อทีมครอบครัวอย่าง “Arboleda Family Reunion 2025” และเปิดศึกประชันคาราโอเกะกันอย่างสนุกสนาน
ในด้านจิตวิญญาณ ประเพณีมิสซารุ่งสาง “Simbang Gabi” ยังคงคึกคัก ผู้คนต่างรอชิมขนมพื้นเมืองอย่าง Bibingka และ Puto Bumbong ท่ามกลางอากาศที่เย็นลงในช่วงปลายปี กิจกรรมเหล่านี้ถูกเตรียมการอย่างประณีตเพื่อให้คุ้มค่ากับการรอคอยที่แสนยาวนาน
อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของคริสต์มาสในฟิลิปปินส์ไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราของแคมเปญการตลาดหรือตัวเลขการใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่หัวใจของชาวฟิลิปปินส์ที่พร้อมอ้าแขนรับความสุข ความอบอุ่นจากการรวมตัวกัน และศรัทธาที่แน่วแน่ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้คริสต์มาสมีความหมายลึกซึ้ง

สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า “ยิ่งฉลองใหญ่ ยิ่งดี” เพราะหัวใจสำคัญคือการได้อยู่ร่วมกับคนที่รักและเฉลิมฉลองจนกว่า “กางเกงจะคับ” สะท้อนถึงการกินอาหารกันในงานเลี้ยงกันอย่างเต็มที่ สมเป็นประเทศที่ฉลองคริสต์มาสได้ยาวนานและมีความสุขที่สุดในโลก / cnn
