ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จของแบรนด์สีทาบ้าน TOA เกิดจากวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การยึดหลัก Consumer Centric และการเป็นผู้นำนวัตกรรมอย่างแท้จริง ทำให้สามารถรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่งไว้ได้อย่างมั่นคง และเบอร์หนึ่งที่ว่า ที่ไม่ใช่เพียงตัวเลขยอดขายหรือส่วนแบ่งการตลาด หากแต่รวมถึงการได้รับตำแหน่ง No.1 Brand แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภคติดต่อกันถึง 6 ปีซ้อน
“TOA อยู่ใกล้ผู้บริโภคมาโดยตลอด เราจึงเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ พฤติกรรม และความต้องการของผู้บริโภคที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาได้ตอบโจทย์ตรงกับที่ผู้บริโภคต้องการ นี่เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ TOA”
พงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เล่าถึงหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ TOA เป็นผู้นำและเป็นเบอร์หนึ่งที่ครองใจผู้บริโภคตลอดมา
ทีม R&D ที่แข็งแกร่ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกหนึ่งคีย์หลักที่ทำให้ TOA เก๋าเกมและเป็น “ผู้นำตลาด” มาเป็นสิบๆ ปี นั่นคือ การมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ที่แข็งแกร่ง อย่างที่รู้ๆ กันว่า TOA เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคและให้ความสำคัญกับ R&D เพื่อสร้าง “นวัตกรรม” และพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพของ TOA แม้ในวันที่ความต้องการเปลี่ยนแปลง
“TOAไม่ใช่แค่องค์กรที่อยู่มานาน เราสะสมความน่าเชื่อถือ ด้วยทีม R&D ที่แข็งแกร่ง เราลงทุนด้านนี้ค่อนข้างมาก เพื่อสร้างนวัตกรรมและมีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคมั่นในว่า สินค้าจาก TOAเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมีการพัฒนาอยู่เสมอ ทั้งกระบวนการผลิตที่เป็นระบบปิดเพื่อให้การควบคุมคุณภาพได้มาตรฐาน และง่ายต่อการขยายกำลังการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
เบอร์หนึ่งที่ไม่เคยหยุดพัฒนา
แม้จะอยู่มานานกว่า 54 ปี เป็นที่น่าแปลกใจว่า TOAไม่ใช่แบรนด์ที่ดูแก่ไปตามกาลเวลา
คุณพงษ์เชิดให้คำตอบกับ Marketeer ว่า เป็นเพราะ TOAมีการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดู Modernize อยู่ตลอด ซึ่งคำว่า Modernize สะท้อนผ่านนวัตกรรมต่างๆ ที่สื่อสารออกไป อย่างหนังโฆษณา “สีสารพัดกัน” ที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของสีที่ล้ำสมัยและกันได้แทบทุกอย่าง นวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้ทำให้เห็นว่า TOAมีไดนามิคตลอดเวลา
“ทุกนวัตกรรมที่ทำออกมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง มันย้อนกลับมาที่ผมบอกในตอนแรกคือ TOAอยู่ใกล้ผู้บริโภคตลอด เพื่อรับรู้ถึงความต้องการ และผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีคุณภาพ คุ้มราคา”
และถ้ามองย้อนกลับไป หลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า TOAไม่เคยหยุดพัฒนาเลย ก็คือ การสร้างนวัตกรรมสีทาบ้านที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การเป็นผู้ปฏิวัติวงการสีปลอดสารโลหะหนัก, TOA Note&Cleanสีเขียนได้ลบได้ ฟิล์มสีชนิดไวท์บอร์ด กึ่งเงาเช็ดได้, Supershield ที่สะท้อนความร้อน ประหยัดพลังงานมากขึ้น หรือจะเป็นสี TOA Duraclean A Plus สีทาภายในที่ช่วยขจัดสารระเหยเป็นพิษ ทาปุ๊บเข้าอยู่ได้ปั๊บ และล่าสุด สีน้ำอะคริลิกไทยโทนสำหรับใช้ทาภายนอกภายในอาคาร ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงความรู้เฉดสีที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของไทยในอดีตในการพัฒนา เหล่านี้คือ นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์จาก TOAเพื่อตอบโจทย์สิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวัง พร้อมเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายที่มีแตกต่างกันไป
การตลาดที่แตกต่าง ช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
การแข่งขันตลาดสีค่อนข้างเสรีและเต็มไปด้วยสีสัน หลายคนอาจจะเรียกว่ารุนแรง แต่ TOAกลับมองว่าเป็นสีสันและทางเลือกให้กับผู้บริโภค ดังนั้นจึงเห็นกิจกรรมการตลาดของ TOAเน้นไปที่การให้ความรู้ ข้อมูล และการให้ทางเลือกที่ดี
“เราทำการตลาดทั้ง ผู้บริโภคปลายทาง และ Influencer กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภค อาทิ ช่างสี ร้านค้า ทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจผู้บริโภค การทำการตลาดจึงต้องครอบคลุมสิ่งเหล่านี้ TOAเองก็สื่อสารไปยังช่างสีและร้านค้า ในการให้ข้อมูลเพื่อถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคเอาไปใช้ได้อย่างถูกต้องและมี Loyalty Program ทำกิจกรรมให้เกิด CRM รวมถึงการทำสื่อโฆษณาผ่านออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อ Motivate ให้คนรู้ว่าการใช้สีไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เปลี่ยนสีได้ตลอดเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย”
ไม่ใช่แค่มีนวัตกรรมที่ดี การตลาดที่แตกต่าง แล้วจะเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดทั้งยอดขายและการครองใจผู้บริโภคได้ การเข้าถึงสินค้าที่ง่าย ด้วยช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและบริการที่ดี ก็เป็นอีกหนึ่งพลังที่ผลักดันให้ TOAครองแชมป์ไว้ได้
“ปัจจุบันในประเทศ TOAมีดีลเลอร์ถึง 6,400 ร้านค้า ครอบคลุม 77 จังหวัด 790 อำเภอ คิดเฉลี่ย 90% ของอำเภอในประเทศไทย เรามีเครื่องผสมสี 4,200 เครื่อง หรือ 2 ใน 3 ของร้านค้าที่เป็นดีลเลอร์ทั้งหมด นั่นหมายความว่าคนไทยสามารถเลือกสีได้ทุกสีตามต้องการ ทำให้การเข้าถึงสีง่ายขึ้น และเมื่อบวกกับนวัตกรรมแล้วการทาสีจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป”
ตลาดสีเปลี่ยนแน่
“การเข้าถึงสินค้าง่ายขึ้น คุณภาพสินค้าถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดมีแนวโน้มขยายตัว และเมื่อบวกกับ Paint Consumption Indicator ในประเทศไทยอยู่ที่ 8 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งถือว่าไม่สูงด้วยแล้ว เรียกได้ว่าตลาดสีในประเทศไทยยังโตได้อีก 20-25% ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว เมียนมา เหล่านี้อัตราการบริโภคยังน้อยกว่าเราเยอะ ตรงนี้คือโอกาส”
“ที่สำคัญอนาคตตลาดสีจะเปลี่ยนไป ผู้บริโภคจะหันมาใช้สีที่มีคุณภาพมากขึ้น เนื่องจากค่าแรงสูงขึ้นเรื่อยๆ การทาสีบ่อยจึงกลายเป็นต้นทุนที่สูง
ดังนั้นเทรนด์การเลือกสีจะเน้นไปที่ “คุณภาพ” มากขึ้น เราเรียกว่า Premiumization และในอนาคตตลาดสีประหยัดจะค่อยๆ ลดลง เพราะสีถูกสีแพงค่าแรงเท่ากัน อีกทั้งกำลังซื้อผู้บริโภคสูงขึ้น การเข้าถึงข้อมูลสินค้าหรือการเข้าถึงสินค้าง่ายขึ้น เมื่อมีข้อมูลสินค้ากอปรกับเหตุผลด้านค่าแรง ทำให้การตัดสินใจของผู้บริโภคจะค่อยๆ เปลี่ยนไป”
TOA ก้าวสู่เบอร์หนึ่งในใจภูมิภาคอาเซียน
ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ TOAขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเมื่อทำตลาดในประเทศได้ครอบคลุมและวางแพลตฟอร์มไว้อย่างดีแล้ว การขยายตัวจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่จะทำให้ TOAขยายตลาดก้าวสู่เบอร์หนึ่งในใจประชาคมอาเซียนได้อย่างเต็มตัวคือ การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และเปลี่ยนนามสกุลเป็น จำกัด (มหาชน)
“ตลาดต่างประเทศเป็นโอกาสที่สำคัญ แม้เราจะไม่ใช่ผู้เล่นรายใหญ่ แต่เราเป็นผู้ที่เริ่มเข้ามาทำตลาด ทำให้มองเห็นโอกาสและศักยภาพที่จะเติบโต TOAเองไปสร้างโรงงานที่ต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มี ลาว เมียนมาร์ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และที่กำลังก่อสร้างอีก 3 ที่ คือ อินโดนีเซีย เมียนมาร์เพิ่มอีก 1 โรงงาน และกัมพูชาที่สร้างโรงงานผลิตสีจากเดิมที่ผลิตสารเคมี ซึ่งการขยายฐานการผลิตออกไปนอกจากจะทำให้เราโตอีกขึ้นแล้ว ยังเป็นการส่งสินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่สะดวกรวดเร็วให้กับผู้บริโภคต่างประเทศอีกด้วย
“และการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ นอกจากจะสะท้อนถึงการทำงานที่โปร่งใสและเป็นมืออาชีพของ TOAแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคปลายทาง ตัวแทนที่เป็นอีกหนึ่งช่องทางจัดจำหน่าย ตลอดจนนักลงทุน ซึ่งการได้รับการยอมรับจากนักลงทุน ทำให้เราสามารถระดมทุน เพื่อต่อยอดและขยายธุรกิจออกไปอย่างมีศักยภาพและมั่นคง”
“เป้าหมายของ TOAในอีก 5 ปี เราจะเป็นผู้นำตลาดสารวัสดุเคลือบผิว โดยเฉพาะ “สี” ในภูมิภาคอาเซียน
เพราะปัจจุบันเราถือเป็น 1 ใน 3 ของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดประชาคมอาเซียน เรามีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 13% แต่ถ้าในไทย เรามี 48.7%
เรามุ่งหวังที่จะเป็นผู้นำตลาดวัสดุเคลือบผิวหรือสี โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของตัวสี ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ได้มากที่สุด” พงษ์เชิด กล่าวทิ้งท้าย
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่
Website:
Marketeeronline.coFacebook:
www.facebook.com/marketeeronline
ติดตาม Marketeer Online ทาง LINE Official


Related