ตลาด Video Content 2562 วิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุดของธุรกิจส่งตรงความบันเทิงที่ไม่ได้มีแค่ Netflix
“คู่แข่งของ Netflix ก็คือเวลานอนของคนทั่วโลก” Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix เคยประกาศในวันที่แถลงผลประกอบการกับนักลงทุน
ไม่รู้ว่า Reed Hastings จะรู้หรือแกล้งไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขามีคู่แข่งอีกเพียบที่มีแพลตฟอร์ม Video Content มาคอยแย่งชิงเวลานอนของคนทั่วโลก
ถึงแม้บางรายอาจจะไม่ได้มีแหล่งรายได้เหมือนอย่าง Netflix ที่เก็บค่าสมาชิกจากคนทั่วโลก โดยเฉพาะ YouTube ที่รายได้เกือบ 100% มาจากโฆษณา โดยมีจุดแข็งที่แตกต่างก็คือเหล่าบรรดา Content creator ที่ค่อยอัพโหลดคลิปวิดีโอจำนวนมหาศาล
รูปแบบการหารายได้จากธุรกิจอาจแตกต่างกัน แต่ทุกรายมีลูกค้าคนเดียวกันก็คือ “เวลานอน และ เวลาว่าง” ของคนทั่วโลก ที่รับชมผ่านหน้าจอ Smartphone, Internet TV ที่เป็นแหล่งขุมทรัพย์มหาศาลในการหารายได้
ลองมาดูว่ากันว่าผู้ให้บริการ Content Video อันดับต้นๆ ของโลกมีใครบ้างที่สามารถแทรกตัวช่วงชิง “เวลาว่าง” ของคนทั่วโลกได้มากที่สุด


จากจุดเริ่มต้นทำธุรกิจให้เช่า DVD แต่เมื่อเทคโนโลยีได้เปลี่ยนพฤติกรรมคนดูจากเครื่องเล่น DVD มาสู่การรับชมผ่านออนไลน์ ทำให้ในปี 2007 Netflix ค่อยๆ เริ่มพัฒนาบริการดู VDO ผ่าน Streaming จนในที่สุดกลายเป็นธุรกิจหลัก
เมื่อขี่หลังเสือก็ลงไม่ได้ Netflix เลือกจะกู้เงินจากสถาบันการเงินมหาศาลจนเวลานี้มีหนี้สินประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนำเงินไปทุ่มซื้อ Content ภาพยนตร์และซีรีส์ดังจากทั่วโลกที่มีมากกว่า 100,000 เรื่อง
และไม่ใช่แค่ซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์แต่ Netflix ยังใจถึงพึ่งได้ เมื่อลงทุนสร้างภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ที่มาพร้อมดาราระดับแถวหน้าของ Hollywood แถมโปรดักชั่นยังยิ่งใหญ่เทียบเท่าหนังฟอร์มยักษ์
และภาพยนตร์เหล่านี้จะหาดูได้เฉพาะใน Netflix เท่านั้น เป็นการสร้างความแตกต่างจากผู้ให้บริการ video streaming รายอื่นๆ
อีกทั้งวิธีคิดการทำธุรกิจของ Netflix เลือกจะเน้นค่าสมาชิกราคาถูก เพื่อให้ได้จำนวนลูกค้าที่ใช้บริการตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่างค่าบริการในไทยเริ่มต้น 280 บาท จนถึง 420 บาทที่ ID เดียวสามารถดูได้พร้อมกัน 4 คน
ในช่วงไตรมาสแรกปี 2018 Netflix มีสมาชิก 117 ล้านคน ซึ่งใน 1 วันมีคนรับชมคอนเทนต์ต่างๆใน Netflix รวมกัน 140 ล้านชั่วโมง
Amazon Prime Video
Amazon เติบโตมาจากการขายของออนไลน์ แต่ก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น Amazon ยังเพิ่มธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ตของตัวเองมากมาย
หนึ่งในนั้นก็คือธุรกิจ VDO Streaming โดยแรกเริ่มนั้นใช้ชื่อว่า Amazon Video on Demand จะเป็นขายแบบทีละเรื่องคือหากอยากดูเรื่องไหนก็จ่ายเงิน
แต่ในเมื่อคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Netflix เลือกจะให้บริการแบบเหมาจ่าย Amazon Prime Video เลยต้องเปลี่ยนเกมมาในระบบเหมาจ่ายรายเดือนพร้อมกับทำราคาแข่งกับ Netflix
โดยสิ่งที่ Amazon Prime Video นำมาใช้สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งก็คือ ซีรีส์หลายๆ เรื่อง ที่คู่แข่งไม่มีแต่ Amazon Prime Video มีให้ดู
โดยปัจจุบันมีสมาชิกอยู่เกือบๆ 100 ล้านคนทั่วโลก (ในที่นี้รวมถึง Amazon Prime ซึ่งเป็นสมาชิกพิเศษของลูกค้าในหมวดช้อปปิ้งของ Amazon ที่สามารถดู Content Video)
น่าจะเป็นเว็บไซต์ Content Video แรกที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักและคลิกเข้าไปดูบ่อยครั้งมากที่สุดจนประเทศไทยติดอับดับ 10 ที่มียอดรับชม YouTube มากที่สุดในโลก
โมเดลธุรกิจของ YouTube เกิดขึ้นในปี 2005 ที่ให้คนทั่วโลกสามารถสร้างคลิปวิดีโอแล้วอัพลงในเว็บไซต์ จนเมื่อมียอดคนดูมหาศาลทำให้ในปี 2007 Google ได้ซื้อกิจการ YouTube ด้วยมูลค่า 1,650 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากนั้นก็พัฒนาความคมชัดมาเรื่อยๆ จากความคมชัด 44P ถึง 480P และในความละเอียด HD ที่ 720P จนเวลานี้สามารถมีความละเอียดของภาพระดับ 4K หรือ 2160P และไม่ได้มีแค่คนทั่วไปที่สร้าง Content แต่กลุ่มบริษัทสื่อยังอัพโหลด Content ลงใน YouTube
รายได้ของ YouTube เกือบๆ 100% จึงเป็นการขายโฆษณาให้แก่แบรนด์สินค้า
แต่ที่เป็นจุดขายของ YouTube ก็ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นนั่นคือคนธรรมดาทั่วไปที่อยากนำเสนอ Content โชว์ให้คนทั่วโลกเห็น โดยนำเสนอใน YouTube บางคนทำเป็นอาชีพจนมีศัพท์ใหม่ขึ้นมาคือ YouTuber ที่หากมียอดวิวสูงๆ YouTube เองก็จะแบ่งรายได้ค่าโฆษณาให้ รวมไปถึง YouTuber เองก็หารายได้จากโฆษณาด้วยตัวเองเช่นกัน
สถิติล่าสุดที่ YouTube ประกาศนั้นคือใน 1 วันมีคนทั่วโลกรับชม YouTube มหาศาล แต่หากเอาเวลาในการรับชมของทุกคนมารวมกันทั้งหมดจะสูงถึง 1 พันล้านชั่วโมงเลยทีเดียว
ตลาด Video Content
Hulu คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ Netflix
Hulu คือบริษัท VDO Streaming อันดับ 3 ของประเทศอเมริกา โดยเป็นแพลตฟอร์มร่วมลงทุนระหว่าง 21st Century Fox, Comcast, Disney และ Time Warner 4 ยักษ์ในวงการสื่อ
ถึงจะมีลูกค้าน้อยที่สุดแต่ Hulu น่าจะเป็น Video Streaming ที่มีแนวโน้มจะมาแรงในอนาคตเมื่อ Disney ที่มีหุ้นอยู่ 30% ได้ซื้อกิจการ 21st Century Fox ทั้งหมดซึ่งก็รวมถึงหุ้นที่ Fox มีอยู่ใน Hulu 30%
ซึ่งนั่นทำให้ Disney ถือหุ้นถึง 60% มากที่สุดใน Hulu จากนั้น Disney ก็ไม่รอช้าเลือกออกมาประกาศยุติความสัมพันธ์กับ Netflix ทำให้ซีรีส์และภาพยนตร์ของ Disney ทั้งหมดจะฉายใน Netflix ถึงสิ้นปี 2018 เท่านั้น
และมีแนวโน้มสูงไม่น้อยว่า Disney จะหันมาพัฒนา Content ต่างๆ ใน Hulu อย่างจริงจังและลงทุนพัฒนาด้านอื่นๆ รวมไปถึงขยายตลาดไปยังต่างประเทศให้เทียบเท่ากับ Netflix
หรือถ้าพลิกล็อกสุดๆ ก็คือ Disney อาจจะสร้าง VDO Streaming ขึ้นมาใหม่เลยก็มีความเป็นไปได้
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



