นอกจากเป็นนักแสดง อีกหนึ่งบทบาทที่ไม่ได้แสดงแต่กลับสะท้อนตัวตนของ ‘อเล็กซ์ เรนเดลล์’ ออกมาได้อย่างเด่นชัดก็คือการเป็นนักอนุรักษ์ที่มักจะทำโครงการต่างๆ เพื่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนหนึ่งก็ทำเพื่อการกุศล และอีกส่วนก็ทำเพื่อให้ องค์กรแสวงหาผลกำไร ที่เขา-เต้ย จรินทร์พร-และผู้ใหญ่อีก 2 คน ก่อตั้งขึ้นมาอย่าง EEC Thailand (Environmental Education Centre) ให้เดินหน้าต่อไปได้

เราไม่ได้พิมพ์ผิด ใช้คำว่าองค์กรแสวงหาผลกำไรนั่นแหละถูกแล้ว

ขณะที่หลายคนมองว่าธุรกิจกับสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สวนทางกัน แต่อเล็กซ์กลับไม่ได้คิดแบบนั้น เขามองว่าพื้นฐานของคนเราต้องกิน ต้องใช้ ต้องเติมเต็มตัวเองให้อิ่มก่อนจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ เพราะหากจะให้มาทำการกุศลตลอดไปก็คงจะเป็นอะไรที่ไม่ยั่งยืน

สิ่งที่อเล็กซ์ทำออกมาจึงอยู่ในรูปแบบของ Social Enterprise คือการทำธุรกิจเพื่อสังคมโดยให้องค์กรมีกำไร และเมื่อองค์กรอยู่ได้ ก็จะทำให้พวกเขาสามารถทำงานเพื่อสังคมต่อไปได้ในระยะยาว

ไม่ใช่เพียงแค่งานที่ระดมเงินทุนมาแก้ไขปลายทางของปัญหาได้ไม่กี่ครั้ง

แต่สุดท้ายปัญหาก็กลับไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง

โดยธรรมชาติของเราเป็นคนชอบธรรมชาติ

ด้วยความที่เรียนอยู่จุฬา บ้านอยู่ย่านศรีนครินทร์ และต้องไปทำงานแถวลำลูกกา เขาจึงถูกการจราจรที่ติดขัดของกรุงเทพฯ ดูดกลืนเวลาชีวิตไปไม่น้อย นั่นทำให้เกิดความทรมาน ที่อยากจะหลีกหนีตัวเมืองไปให้ไกล

“ผมใช้เวลา 2 ชั่วโมง ตั้งแต่โมเมนต์ที่ออกจากบ้านกว่าจะถึงปลายทาง พอถึงแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะจบ ยังต้องวนหาที่จอดรถ ต้องต่อคิวขึ้นลิฟต์ รู้สึกว่ามันเหนื่อย มันไม่ใช่เรา

แล้วโดยธรรมชาติของผมเป็นคนชอบธรรมชาติมาแต่เด็ก เวลามีถ่ายละครที่เป็นซีนธรรมชาติเรารู้สึกนิ่งขึ้น มีสมาธิมากขึ้นกว่าซีนในเมือง คือผมจะมีความสุขมากเวลาได้ทำอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม

จนวันหนึ่งที่เริ่มอยากจะทำอะไรโดยใช้ความคิดของตัวเอง คือนักแสดงมันเป็นงานที่ต้องสวมบทบาทเป็นคนอื่น แต่เราอยากสวมบทบาทเป็นตัวเองบ้าง ก็เลยคิดว่าจะทำเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติ จนกลายมาเป็น EEC Thailand อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันนี่แหละ”

เด็กชายอเล็กซ์ ผู้ปลูกต้นไม้แห่งจิตสำนึกเอาไว้ในใจตั้งแต่อายุแค่ 10 ขวบ

ความชอบทำอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดองค์กรอย่าง EEC Thailand ขึ้นมาได้

แต่ยังต้องมีองค์ประกอบของความเข้าใจ ที่เขาได้มาจากการไปค่ายเพื่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายอเล็กซ์ที่มีอายุเพียงแค่ 10 ขวบ

“จริงๆ ผมเจอกับครูอลงกต ชูแก้ว (ผู้ใช้ชีวิตเพื่อการอนุรักษ์ และเป็น Programme Director ของ EEC Thailand) ตั้งแต่ตอน 10 ขวบ จากการไปค่ายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนี่แหละ แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนเด็กมากๆ แต่มันเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมทำ EEC ขึ้นมาอย่างทุกวันนี้ได้

บวกกับวันหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปเป็นครูผู้ช่วยในค่ายแบบนี้ ก็เลยลองถามทีมงานในค่ายว่าถ้างั้นเรามาทำเป็นบริษัทกันไหม ให้คนได้มาเรียนเหมือนกับที่ผมเคยเรียน ให้คนได้มาเข้าใจธรรมชาติเหมือนกับที่ผมได้เข้าใจ

แล้วถ้าวันหนึ่งพวกเขากลายเป็นคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจ สิ่งพวกนี้ก็อาจเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พวกเขาเลือกตัดสินใจแบบไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมก็เป็นได้”

EEC ไม่ใช่ Eco Tourism

อเล็กซ์เล่าให้เราฟังว่าหลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ EEC คิดว่านี่เป็นเหมือน Eco Tourism ที่ให้คนที่มารู้จักกับวิธีอนุรักษ์อย่างที่เราเคยเห็นกันทั่วไป

แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะ EEC เป็นค่ายที่จะทำให้คนเข้าใจไปถึงแก่นแท้ของสิ่งแวดล้อม มาค่ายเกี่ยวกับช้างก็ไม่ใช่แค่มาให้อาหาร ขี่ช้าง ถ่ายรูป แล้วก็กลับไป แต่ยังต้องเก็บขี้ช้างไปเข้าห้อง Lab ศึกษาพฤติกรรมของมัน ศึกษาถิ่นที่อยู่อาศัย ไปดูว่าโป่งช้างเป็นยังไง

หรือคนที่มาเรียนดำน้ำกับ EEC ก็ไม่ใช่แค่ดำลงไปใต้น้ำ เก็บขยะแล้วได้ certificate แต่เขายังต้องเข้าใจชีววิทยาทางน้ำ หรือความต่างของน้ำจืดน้ำเค็ม แบบเชิงลึกไม่ใช่แค่ผิวเผิน

การมาค่ายกับ EEC จึงเป็นเหมือนการเรียนรู้มากกว่าการมาท่องเที่ยว และนั่นก็จะทำให้คนที่มาค่ายได้มีความเข้าใจในสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน เข้าใจในใจความสำคัญของมัน ที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนในการอนุรักษ์อย่างแท้จริง

ที่ทำเป็นธุรกิจ เพราะมันจะยั่งยืนกว่าแบบการกุศล

“จริงๆ เงินมันเป็นสิ่งสุดท้ายเลยนะที่เรานึกถึง แต่ยังไงมันก็ต้องมีเพื่อความยั่งยืน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงคือทุกคนต้องกินต้องใช้ ต้องดูแลตัวเองและคนที่บ้านให้ได้ก่อน ถึงจะมีเวลามาดูแลคนอื่น

ผมก็เลยคิดว่าแล้วถ้าทำให้มันเป็นงานของเขา ที่เขาสามารถดูแลตัวเองและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กันได้ เขาอยู่ได้ องค์กรอยู่ได้ ก็จะส่งผลให้เราสามารถช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนด้วยเหมือนกัน

มันเป็นเหมือน Social Enterprise ที่มีแต่ win-win situation แล้วผลกำไรที่หวังก็ไม่ได้อยากจะได้เป็นกอบเป็นกำ ขอเพียงแค่มันเพียงพอที่จะเลี้ยงองค์กรได้ ทำให้เราสามารถช่วยสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้ก็เท่านั้นเอง”

วิธีรักษาสมดุลระหว่างการทำธุรกิจ กับการทำเพื่อสิ่งแวดล้อม

ด้วยความที่ในบ้านเรายังไม่มีองค์กรในรูปแบบนี้สักเท่าไร หากสถาบันหรือองค์กรอยากจะทำโครงการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอะไร ก็มักจะนึกถึง EEC Thailand เป็นที่แรกเสมอ

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจึงมีคนเข้ามาหา EEC มากมาย เราจึงถามอเล็กซ์กลับไป ว่าแล้วเขามีวิธีการรักษาสมดุลระหว่างรายได้ที่เข้ามา กับภาพลักษณ์องค์กร และการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมยังไง

สิ่งที่อเล็กซ์ตอบกลับเรามาก็คือ

“เวลามีคนเข้ามา อย่างแรกที่ผมจะพูดให้เคลียร์ก่อนเสมอก็คือการบอกกับเขาว่าเราไม่ใช่องค์กรการกุศลนะเราหวังผลกำไร เพราะเราต้องเลี้ยงดูทีมงานกว่า 20 คน

มีคนอยากทำงานกับเราเยอะก็จริง แต่ถ้างานมันไม่ตรงกับคาแรกเตอร์ของเรา แม้เงินจะเยอะแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องขอโทษและปฏิเสธไป

ไม่ใช่เราไม่อยากเติบโตนะ แต่อยากโตแบบยั่งยืน ที่คาดหวังว่าวันหนึ่งอยากจะทำให้มันมี EEC Thailand มี EEC Vietnam มี EEC Japan

คิดดูสิถ้ามีองค์กรแบบนี้อยู่ทั่วโลก มันจะดีต่อสิ่งแวดล้อมของเราขนาดไหน”

ค่ายเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่นำไปสู่การเปลี่ยน Mindset ของคน

ไม่เพียงแค่จิตสำนึก หรือความเข้าใจถึงแก่นแท้ของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่อเล็กซ์ยังบอกกับเราว่าสิ่งที่คนมาค่ายจะได้รับกลับไป ยังรวมไปถึงการที่เขาจะได้ค้นพบตัวเองในรูปแบบใหม่ๆ

ทั้งในแง่ของไลฟ์สกิลที่จะเพิ่มขึ้น เด็กๆ จะรู้จักการช่วยเหลือตัวเอง การหัดแพ็กของด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขารู้จักที่จะปรับตัวและเคารพกติกาของคนในสังคม การออกมาจากคอมฟอร์ทโซน หรือแม้แต่การเป็นนักตัดสินใจที่ดี

มุมมองคนนอกอาจจะคิดว่าคนที่มาค่ายให้อะไรกับสิ่งแวดล้อม

แต่เชื่อสิว่าสิ่งแวดล้อมก็จะให้อะไรคืนกลับไปไม่น้อยเลยเหมือนกัน

โชคดีแค่ไหน ที่ได้เหนื่อยในสิ่งที่ผมชอบ

เขาเรียนนิเทศศาสตร์ มีอาชีพหลักเป็นนักแสดง และเดินทางในสายศิลป์มาโดยตลอด

จนวันหนึ่งที่ก้าวขึ้นมาเป็นคนบริหารองค์กร ที่ต้องรับผิดชอบปากท้องของทีมงานกว่า 20 ชีวิต ทั้งยังต้องทำหน้าที่เป็นครูสอนเด็กๆ ในค่าย

เมื่อถามว่าแล้วอเล็กซ์ไปเอาวิธีการทำธุรกิจแบบ Social Enterprise หรือไปหาวิธีบริหารคนมาจากไหน

สิ่งที่เขาตอบกลับเรามาก็คือ

“ผมก็เอามาจากความผิดพลาดนี่แหละ เริ่มทำด้วยใจแล้วใช้ความผิดพลาดเป็นครู คือก่อนจะมาทำ EEC บอกเลยว่าความรู้เรื่องธุรกิจนี่แทบจะเป็นศูนย์

แต่ในเมื่อเราอยากจะช่วยสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ก็ต้องพยายามทำให้ได้ คือมันทั้งเหนื่อยทั้งเครียดเลยนะ แล้วไม่ได้มีแค่งานนี้งานเดียว ผมยังเป็นนักแสดงด้วย ซึ่งทั้งสองงานมันเป็นงานที่เหนื่อยทั้งสมองเหนื่อยทั้งร่างกาย

แต่เหนื่อยแค่ไหน ผมก็คิดว่าผมโชคดีที่ได้มาเหนื่อยในสองสิ่งที่ผมรักมากที่สุด– อเล็กซ์ เรนเดลล์

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer