GrabPay กรณีศึกษาของการต่อยอดเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคของผู้ประกอบการ

นับตั้งแต่ Grab เดบิวต์ในประเทศไทย นาทีนั้นแกร็บก็ประกาศตัวว่าจะขอเป็น Solution แก้ปัญหาให้ผู้บริโภคในสังคม

จากก้าวแรกที่เป็น ‘บริการเรียกรถ’ เพื่อแก้ Pain Point ระดับชาติอย่างการที่แท็กซี่ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ต่อมาบริษัทได้ต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ ส่งพัสดุ สั่งอาหาร รวมถึงทำประเป๋าเงินของตัวเองที่ชื่อ GrabPay Wallet ร่วมกับพาร์ตเนอร์ “กสิกรไทย”

ธุรกิจการเงินของแกร็บอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดย “แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป” ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้พัฒนา GrabPay Wallet และคอยดูแลกลุ่มธุรกิจและผลิตภัณฑ์ด้านการเงินต่างๆ

แต่นอกจาก E-Wallet แล้ว แกร็บยังเข้ามาเล่นในธุรกิจ ‘สินเชื่อ’

ย้อนกลับไป กรกฎาคม 2562 บริษัทเปิดตัว GrabPay Wallet จนผ่านมาราว 8 เดือนถึงกุมภาพันธ์ 2563 อัตราการเติบโตพุ่งสูงขึ้น 7 เท่า

ข้อมูลจากแกร็บระบุว่า ปัจจุบันผู้ใช้งานแกร็บเกือบ 50% เป็นกลุ่ม cashless แล้ว และแน่นอนว่าหนึ่งในช่องทางที่ทำให้คน cashless ได้ก็คือ GrabPay Wallet

เมื่อมีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง บวกกับมีกระเป๋าเงินเป็นของตัวเอง จึงมี ‘data’ มหาศาลจากการที่ลูกค้าใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเรียกรถ ส่งของ ส่งพัสดุ หรือรู้ละเอียดกระทั่งพฤติกรรมเชิงลึก

ในแง่นี้ GrabPay จึงไม่ต่างจาก Infrastructure หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าในทุกมิติ ก่อนจะต่อยอดไปผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ

วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ‘แกร็บ’ เป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ลุกขึ้นมาทำเรื่อง Data-Driven Digital Lending เพราะอาศัยความได้เปรียบจากแพลตฟอร์มต่างๆ เข้ามาเสริม Ecosystem ของบริษัท

“เราต้องการเป็น Fintech Solution ครบวงจร” วรฉัตรย้ำ

ดังนั้น ลูกค้า-ผู้ยื่นขอสินเชื่อจึงไม่ใช่ใครที่ไหน หากเป็น ‘พาร์ตเนอร์’ ของแกร็บเอง คือผู้ขับขี่และร้านอาหาร

โดยสินเชื่อ 3 กลุ่มที่ Grab ขยับมาเล่นในสนามนี้ ได้แก่

(1) สินเชื่อเงินสดผ่านแอป

วงเงินตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท ดอกเบี้ยสูงสุด 18% โดยผู้ยื่นไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพราะบริษัทรู้พฤติกรรมการทำงาน และรู้ statement ของผู้ยื่น ก่อนจะนำไปประมวลเป็น credit score เพื่อประเมินว่าควรให้สินเชื่อหรือไม่

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขา (ผู้ขับขี่) ​รถเสีย ยางแตก เขาไม่มีเงินเปลี่ยนยางก็ไม่สามารถรับงานได้ สินเชื่อจากเราคือทางออก อย่างเดียวที่เราจะเน้นคือแค่คุณเป็นคนขับที่ดีกับเรา แค่มี ‘พฤติกรรม’ ก็เพียงพอ และ data ของเราจะมาบอกว่าคนขับที่ดีคืออะไร” วรฉัตร ขยายความ

(2) บริการผ่อนชำระสินค้ารายวัน

วงเงินหลักหมื่น ดอกเบี้ย 0% สำหรับผ่อนชำระโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบรายวัน เริ่มต้นค่าผ่อนวันละ 100 บาท

(3) สินเชื่อ SMEs

วงเงินสูงสุด 1,000,000 บาท ดอกเบี้ยสูงสุด 15% สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย เน้นเพิ่มสภาพคล่องในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านอาหารที่เป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัท

โดยกำไรจากสินเชื่อเงินสดและสินเชื่อเอสเอ็มอีมาจากดอกเบี้ย ขณะที่บริการผ่อนชำระรายวันจะมาจาก margin แบรนด์สมาร์ทโฟนที่แกร็บเข้าไปเป็นพาร์ตเนอร์เพื่อทำธุรกิจนี้โดยเฉพาะ

ทั้งนี้ สินเชื่อทั้ง 3 ดำเนินการโดย “บริษัท จีฟิน เซอร์วิสเซส (ที) จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ “แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป”

สินเชื่อทั้ง 3 กลุ่มเปิดตัวไปตั้งแต่ไตรมาส 4/62 เป็นการทำตลาดกับพาร์ตเนอร์ ฟีดแบ็ก 3 เดือนหลังจากเปิดตัวคือได้ฐานลูกค้าในธุรกิจสินเชื่อราว 20,000 ราย คิดเป็นเม็ดเงิน 500 ล้านบาท

ส่วนเป้าหมายภายในสิ้นปี 63 บริษัทตั้งเป้าที่ 3,000 ล้านบาท จากลูกค้าสินเชื่อกว่า 100,000 ราย

เป้าหมายสินเชื่อ 3,000 ล้าน วรฉัตรมองว่าแม้ยังไม่ใช่จำนวนที่มากเมื่อเทียบกับสินเชื่อจากแบงก์ขนาดใหญ่ แต่เป็นเป้าหมายที่บริษัทวางไว้เพราะลูกค้าโดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่ไม่สามารถเข้าถึงสถาบันการเงินหรือไม่มี statement ทางการเงินสามารถยื่นขอสินเชื่อกับแกร็บได้ ซึ่งเป็น ‘จุดแข็ง’ ที่ธุรกิจแบงก์ไม่ลงมาเล่น

สรุปแล้ว Grab สร้างโพรไฟล์การเงินให้คน No-Name ในสายตาธนาคาร และเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ ขณะที่แต่เดิมเวลากลุ่มคน No-Name จะกู้ก็ต้องไปเสนอกู้กับหนี้นอกระบบ

แต่วันนี้ Grab เข้ามาชิงเค้กของตลาดหนี้นอกระบบ โดยดึงเข้ามาอยู่ในระบบของ Grab เอง

Marketeer มองว่าในอนาคตแกร็บจะไม่หยุดแค่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเท่านั้น แต่จะเป็นตัวกลางการเงิน หรืออาจไปถึงขั้น Digital Banking ตามที่หัวเรือใหญ่ของ “แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป” เคยเปรยๆ ไว้ว่า Grab อาจขยับสู่ธุรกิจ Digital Banking ก็เป็นได้

เพราะ FinTech ที่ครบไม่ได้หยุดอยู่แค่สินเชื่อ

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer