Supply Chain ของโลกกำลังจะเปลี่ยนไปเพราะวิถีใหม่ New Normal (วิเคราะห์)
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สะท้อนให้เห็นความเปราะบางอะไรบ้างของซัปพลายเชนโลก
เพราะเมื่อเกิดปัญหาที่จุดหนึ่งจุดใดของซัปพลายเชน ปัญหาสามารถลุกลามจนทำให้ต้องยุติการผลิตตลอดทั้งซัปพลายเชนได้
เห็นได้จากเมื่อรัฐบาลจีนประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น และปิดโรงงานทั้งหมดในช่วงปลายเดือนมกราคม-เมษายน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต้องหยุดการผลิตรถยนต์ตามไปด้วย เพราะชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตรถยนต์ส่วนหนึ่งมีฐานการผลิตอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น
นอกเหนือจากผู้ผลิตรถยนต์แล้ว อุตสาหกรรมการผลิตของโลกแทบทั้งหมดมีฐานการผลิตอยู่ที่จีน จึงทำให้อุตสาหกรรมการผลิตหลายอย่าง ตั้งแต่อุตสาหกรรมสิ่งทอไปจนถึงอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ ได้รับผลกระทบจากความชะงักงันในซัปพลายเชนที่เกิดขึ้นในจีนไม่มากก็น้อย
จากบทเรียนในครั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ให้เห็นประเด็นที่เป็นจุดอ่อนที่น่าสนใจ
คือ จุดอ่อนของซัปพลายเชนโลกที่มุ่งเน้นการผลิตเป็นจำนวนมากในประเทศที่มีต้นทุนต่ำที่สุดเพียงที่เดียว
เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรที่มากระทบก็จะส่งผลอย่างมหาศาลกับทั้งซัปพลายเชน
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ควรทำคือ การปรับเปลี่ยนซัปพลายเชน เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น หรือที่เรียกว่า “Agile Supply Chain”
และยังมองว่าจากนี้ไปการผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญต่าง ๆ จะเริ่มกระจายตัวอยู่ในฐานการผลิตของแต่ละภูมิภาคมากขึ้น ตลอดจนการนำระบบการผลิตแบบออโตเมชั่นมาใช้มากขึ้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับสายการผลิตสู่สินค้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้อย่างรวดเร็ว หากเกิดภาวะชะงักงันในซัปพลายเชนที่อื่น
แนวคิดแบบ Agile Supply Chainจะทำให้เกิดการลงทุนในฐานการผลิตอื่น ๆ นอกจากจีน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและแก้ปัญหาการชะงักงันในซัปพลายเชน
แล้วประเทศไทยจะได้อานิสงส์อย่างไร
สำหรับประเทศไทยมีโอกาสที่จะได้รับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ามากที่สุด เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนอยู่ก่อนแล้ว
จึงทำให้มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมกลุ่มนี้อยู่อย่างครบวงจร ประกอบกับอุตสาหกรรมกลุ่มนี้เป็น Capital-Intensive Industry ที่เน้นใช้เครื่องจักรในการผลิต จึงสามารถกระจายสายการผลิตในไทยเพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานมีความยืดหยุ่นมากขึ้นได้โดยสะดวก
ด้านอุตสาหกรรม Labor-Intensive ประเทศไทยก็คงไม่มีโอกาสในการรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากนักเพราะค่าจ้างแรงงานของไทยสูงกว่าค่าจ้างแรงงานในกลุ่มประเทศ CLMV ค่อนข้างมาก หากจะมีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ประเทศในกลุ่ม CLMV เช่น เวียดนาม ก็น่าจะเป็นประเทศที่มีโอกาสรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากกว่าไทย
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ใช้ Frontier Technology เช่น อุตสาหกรรมอากาศยาน อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์
มองว่าคงเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมีแนวโน้มที่บริษัทผู้ผลิตจะกระจายความเสี่ยงกลับไปที่ประเทศแม่ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีมากกว่า
แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับเม็ดเงินลงทุนมากขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมจะยังได้รับมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศน้อยลงประมาณ 17% เมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ภาพรวมการลงทุนลดลง 1.3% และทำให้ผลผลิตของภาคอุตสาหกรรมหดตัวประมาณ 0.3%
เนื่องจากสินค้านวัตกรรมเหล่านี้เป็นสินค้าที่ใช้แรงงานทักษะสูงในการผลิต จึงไม่สามารถจะหาฐานการผลิตอื่นทดแทนจีนได้ง่าย ดังนั้น การย้ายการลงทุนส่วนหนึ่งกลับไปที่ประเทศแม่เลยจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ Agile Supply Chain จะทยอยเริ่มขึ้นตั้งแต่ปีหน้า เพราะปีนี้เศรษฐกิจหลักทั่วโลกได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแบบฉับพลัน ทำให้ความต้องการสินค้าต่าง ๆ ของผู้บริโภคลดลงทั่วโลก และทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินของสินค้าอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีอยู่พอสมควร ประกอบกับผลประกอบการยังไม่ฟื้นตัวดีอุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงชะลอการลงทุนไปก่อน
ในระยะยาวการลงทุนของต่างชาติในภาคการผลิตของไทยจะกระจุกตัวอยู่ในสองอุตสาหกรรมหลัก คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า
ไทยจึงสูญเสียโอกาสที่จะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมาไทยลดลงได้ในอนาคต ภายใต้สมมุติฐานที่การลงทุนจากต่างชาติในภาคบริการและภาคเกษตรไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนซัปพลายเชนโลก
Website : Marketeeronline.co /
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



