จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างรุนแรง เนื่องจากไทยเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลก ที่รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศพึ่งพาภาคธุรกิจการท่องเที่ยว การส่งออกและนำเข้าในระดับที่สูงมาก ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รัฐบาลเลือกใช้มาตรการปิดประเทศ ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฉุกเฉิน ตามมาด้วย พ.ร.ก. ประกาศเคอร์ฟิว ทำให้กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจทั้งหมดหยุดชะงักชั่วคราว ผู้ประกอบการและบริษัทต่าง ๆ ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้เหมือนเดิม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องหามาตรการทางการเงินที่จะเข้ามาฟื้นฟู เยียวยา ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรอบคอบและรวดเร็ว ด้วยเวลาและงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการเสริมสภาพคล่องที่เรียกว่า สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ Soft Loan ด้วยเม็ดเงินมหาศาลมากถึง 6.5 แสนล้านบาท เพื่ออัดฉีดกระแสเงินสดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย
มาตรการสนับสนุนสินเชื่อ Soft Loan เป็นมาตรการที่ภาคเอกชนได้ตั้งความคาดหวังไว้อย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้ประกอบการ SMEs ที่มีเงินทุนหมุนเวียนอย่างจำกัด เมื่อเผชิญปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจก็จะเป็นกลุ่มต้น ๆ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดังนั้น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนี้จะมาช่วยประคับประคองและชะลอสถานการณ์อันย่ำแย่ที่ธุรกิจเหล่านี้ประสบอยู่ โดยหลักการ มาตรการ Soft Loan นี้ มีประโยชน์และมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการดังกล่าวตามที่สรุปไว้ในตารางด้านล่างนี้
แหล่งที่มา เว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย https://www.bot.or.th/covid19/Pages/content/sme/softloan/default.aspx

แหล่งที่มา เว็บไซต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย https://www.bot.or.th/covid19/Pages/content/sme/softloan/default.aspx
ประเด็นเฉพาะหน้าที่สำคัญในขณะนี้ คือ การที่ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อ Soft Loan ได้หรือไม่ อย่างไร คุณสมบัติของผู้ประกอบการที่จะขอรับความช่วยเหลือที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหาขาดเงินหมุนเวียนในธุรกิจที่จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อ Soft Loan นี้ได้ จากผลการสำรวจเบื้องต้นของนักเรียนปริญญาเอกของสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสุ่มตัวอย่างและสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ SMEs ทั่วประเทศไทย พบว่า ในขณะนี้มีผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมากมีการร้องเรียนผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อถามหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่รัฐบาลนำมาใช้ช่วยเสริมสภาพคล่องในวิกฤตโควิด-19 นี้ แต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ส่วนผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อแบบด่วนและรวดเร็วนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นและคุ้นเคยกันมาก่อน หรือมีข้อตกลงระหว่างกันในการซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินควบคู่กับการได้รับสินเชื่อ Soft Loan นี้ เช่น การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อเต็มวงเงิน เป็นต้น มาตรการนี้ยังมีช่องโหว่ในทางปฏิบัติอีกมากมายที่ควรจับตามอง เช่น
– การที่ธนาคารพาณิชย์ได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารของรัฐและนำเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนี้ไปปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราที่สูงขึ้น
– เงินกู้ Soft Loan ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามหลักการที่ถูกต้อง ไม่ควรคิดค่าธรรมเนียมใด ๆ แต่ Soft Loan ที่มาจากธนาคารพาณิชย์บางแห่งอาจมีการคิดค่าธรรมเนียมที่ยากจะตรวจสอบได้ และทำให้ดอกเบี้ยที่คิดว่าต่ำกลายเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงกว่าดอกเบี้ยในสภาวะปกติ
– เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนั้นอาจจะกลายเป็นช่องทางหาเงินของผู้ประกอบการ SMEs บางกลุ่มที่ได้รับเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์และนำเงินดังกล่าวมาหาประโยชน์ส่วนตัวโดยการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถกู้โดยตรงได้จากธนาคารพาณิชย์
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องเฝ้าระวัง คือเมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติอนุมัติพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังสามารถกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นจำนวนวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาทแล้วนั้น การจัดสรรเงินงบประมาณก้อนโตนี้มีธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และมีมาตรการตรวจสอบที่ชัดเจนเพื่อให้วงเงินนี้ไปถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตนี้ หรือไม่ อย่างไร สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปคือเจตนารมณ์ที่ดีของรัฐบาลโดยผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์จะสามารถปฏิบัติตามได้มากน้อยเพียงใด แบงก์ชาติมีมาตรการตรวจสอบและติดตามผลของการดำเนินการอนุมัติปล่อยเงินนี้ไปถึงกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ และมีการคิดค่าธรรมเนียมการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อหรือไม่ และทำไม ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนมากมายถึงเอื้อมไม่ถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนี้
บทความนี้เขียนโดย
- ศาสตราจารย์ ดร.ศิริมล ตรีพงษ์กรุณา University of Western Australia
- ศาสตราจารย์ ดร.ภรศิษฐ์ จิราภรณ์ Pennsylvania State University
- รองศาสตราจารย์ ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส Sasin School of Management
- นาย ศรัณยู อึ๊งภากรณ์
- นางสาว นพรัตน์ วงศ์สินหิรัญ
–
