เปิดเทอม 2563 กับหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ถามใจผู้ปกครองกังวลอะไร ? (บทวิเคราะห์)
ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่ภาคการศึกษาที่ต้องปรับเวลาเลื่อนเปิดเทอม และปรับแนวทางการสอนเป็นการเรียนแบบออนไลน์
แม้ตอนนี้สถานการณ์จะดีขึ้น มีการคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 3 ไปแล้ว ส่วนระยะที่ 4 จะเริ่มในวันที่ 15 มิ.ย. นี้ หนึ่งในนั้นคือการคลายล็อกให้สถานที่ โรงเรียน สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ หน่วยงานในกำกับของรัฐ ให้สามารถเปิดได้หมด แต่ยังต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้น
ขณะเดียวกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กทม. มีประกาศจัดระเบียบ ร.ร. ขนาดเล็ก-ขนาดกลาง-ใหญ่ โดย ร.ร. ขนาดเล็กให้เปิดทำการปกติ แต่ยังต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคม
ส่วน ร.ร. ขนาดกลางและขนาดใหญ่นั้นจะต้องจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน แบ่งเป็น 2 รูปแบบ
– แบบสลับวันเรียนทั้งหมด
– แบบมาเรียนปกติ ร่วมกับสลับวันเรียนทั้งหมด
โรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนไม่เกิน 400 คน
โรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียน 401-800 คน
โรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียน 801-1,500 คน

และก่อนที่จะเปิดเทอม 2563 ในวันที่ 1 ก.ค. นี้ ภาพรวมและบรรยากาศเป็นอย่างไร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยทำการสำรวจความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาและผลกระทบจากโควิด-19 พบว่า ผู้ปกครองกว่า 88.9% มีความกังวลต่อสภาพคล่องทางการเงินที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2563
และยังต้องปรับตัวด้วยการใช้แหล่งเงินจากหลาย ๆ ที่ นอกจากการใช้เงินออม อาทิ สินเชื่อจากสถาบันการเงินอย่างบัตรเครดิตหรือสินเชื่อเงินสด โรงรับจำนำ ยืมญาติพี่น้องหรือเพื่อน
นอกจากนี้ บางคนได้ขอผ่อนผันการชำระค่าเรียนหรือผ่อนชำระค่าเทอมกับทางโรงเรียน ซึ่งมีสถานศึกษาบางแห่งอนุญาตให้ทำได้
ส่วนมูลค่าการใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงเปิดเทอมใหญ่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าจะอยู่ที่ประมาณ 28,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน
การเปิด-ปิด เทอม ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เทอมที่ 1/2563
เปิดเรียน: 1 กรกฏาคม-13 พฤศจิกายน 2563
ปิดภาคเรียน: 17 วัน (14-30 พฤศจิกายน 2563)
เทอมที่ 2/2563
เปิดเรียน: 1 ธันวาคม 2563-9 เมษายน 2564
ปิดภาคเรียน: 37 วัน (10 เมษายน-16 พฤษภาคม 2564)
วันเรียนที่ขาดหายไป 12 วัน ให้สถานศึกษาสอนชดเชย
ที่มา: กระทรวงศึกษาธิการ
การเพิ่มขึ้นมาจาก
– ค่าใช้จ่ายมาจากค่าธรรมเนียมการศึกษา ซึ่งเป็นผลจากจำนวนนักเรียนใหม่ที่เข้าสู่ระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น แต่เป็นอัตราการเพิ่มที่ชะลอตัวจากปีก่อน แต่โรงเรียนเอกชนหลายแห่งไม่ได้ปรับขึ้นค่าเรียน และบางแห่งได้ปรับลดค่าธรรมเนียมการศึกษาเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง
ส่งผลให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาในบางกลุ่ม ซึ่งจะมีผลต่อผู้ประกอบการธุรกิจที่คงจะต้องเตรียมแผนการตลาดรองรับกับรายได้ที่จะลดลง
(1) กลุ่มสินค้าเพื่อการศึกษา เช่น ชุดนักเรียน รองเท้า อุปกรณ์การเรียน ซึ่งผู้ปกครองจะลดจำนวนที่จะซื้อหรือซื้อเท่าที่จำเป็น
(2) กลุ่มค่าใช้จ่ายการเรียนกวดวิชา/เสริมทักษะ เนื่องจากหลายสาเหตุ อาทิ ผู้ปกครองที่ไม่มีปัญหาเรื่องรายได้ แต่ชะลอการส่งบุตรหลานไปเรียนกวดวิชาหรือเสริมทักษะ เพราะยังกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19
ส่วนผู้ปกครองที่มีปัญหาเรื่องรายได้จะปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนการเรียนเสริมทักษะ ขณะที่ในส่วนของกวดวิชาจะเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่สำคัญ
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
