‘ทีวี ไดเร็ค’ พร้อมผนึกกำลังเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจกับพาร์ตเนอร์ยักษ์ใหญ่ ‘โมโม่ ดอทคอม’ ผู้นำธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและอี-คอมมิร์ซจากไต้หวัน หลังได้รับไฟเขียวจากผู้ถือหุ้นทีวี ไดเร็ค เป็นที่เรียบร้อย เตรียมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ พัฒนาแพลตฟอร์มและกลยุทธ์การขายสินค้า เพื่อขยายฐานลูกค้าอย่างเต็มที่ในทุกช่องทางจำหน่ายทั้งทีวีและออนไลน์ ตลอดจนตั้งเป้าเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์จากไต้หวันและในไทยอีกเท่าตัวเป็นกว่า 10,000 รายการ พร้อมวางแผนลดความซ้ำซ้อนกระบวนการทำงานภายในองค์กร ระหว่างทีวี ไดเร็ค กับ ทีวีดี ช้อปปิ้ง เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นายธนะบุล มัทธุรนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่าน Omni Channel เปิดเผยว่า พร้อมเดินหน้าผนึกความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและอี-คอมเมิร์ซ คือบริษัท โมโม่ดอทคอม จำกัด หรือ Momo.com Inc. (MOMO) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ในไต้หวัน ที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแก่ทีวี ไดเร็ค จากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ หลังจากบริษัทฯ เพิ่งได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ให้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 114,773,458 หุ้น หรือคิดเป็น 15% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเพิ่มทุน เพื่อขายให้แก่ MOMO ในราคาหุ้นละ 1.13 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 129.69 ล้านบาท และบริษัทฯ จะชำระเงินอีกจำนวน 23.2 ล้านบาทให้แก่ MOMO เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการขายหุ้น 35% ในทีวีดี ช้อปปิ้ง แก่บริษัทฯ
จากความร่วมมือเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจดังกล่าว บริษัทฯ ยังสามารถนำจุดแข็งของ MOMO ในธุรกิจโฮมช้อปปิ้งและการเสนอขายสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ เข้ามาเพิ่มศักยภาพให้แก่ธุรกิจได้ ทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการจำหน่ายสินค้า การนำระบบซอฟต์แวร์จากพาร์ตเนอร์เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพเพื่อวางแนวทางการตลาดใหม่ ๆ และความร่วมมือพัฒนากลยุทธ์การขยายตลาดในประเทศไทย

นอกจากนี้ ภายใต้ความร่วมมือกับ MOMO บริษัทฯ สามารถผสมผสานความร่วมมือในการจัดหาสินค้า เพื่อเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย โดยภายในสิ้นปีนี้ต้องการเพิ่มสินค้าขึ้นเป็นกว่า 10,000 รายการ จากปัจจุบันที่มีสินค้า 4,000-5,000 รายการ พร้อมเดินหน้าขยายช่องทางขายทุกช่องทาง ทั้งทีวี และแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งในไทย
ทั้งนี้ MOMO เป็นบริษัทฯ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจโฮมช้อปปิ้งที่ก่อตั้งเมื่อปี 2547 ก่อนขยายเข้าสู่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ผ่านช่องเว็บไซต์ โมบาย แอปพลิเคชัน และโซเชียล มีเดีย เช่น www.momomall.com.tw, www.momoshop.com.tw, momomall’s official Line account เป็นต้น ซึ่งเป็นเว็บไซต์ชั้นนำด้านอี-คอมเมิร์ซในไต้หวันที่มีสินค้าหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ และได้รับรางวัลมากมายด้านแพลตฟอร์มการขายสินค้าอี-คอมเมิร์ซจากหน่วยงานต่าง ๆ ในไต้หวัน นอกจากนี้ MOMO มีแผนเพิ่มศักยภาพการแข่งขันโดยสร้างความแตกต่างด้านการให้บริการ ทั้งการจัดส่งสินค้าและบริการติดตั้ง รวมถึงพัฒนาการรับประกันสินค้าหลังการขาย ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายของสินค้าบนเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง
“โมโม่ดอทคอม อิงค์ ในปัจจุบันเป็นบริษัทชั้นนำที่เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดทีวีโฮมช้อปปิ้งของไต้หวัน โดยมีช่องทีวีโฮมช้อปปิ้งภายใต้ชื่อ Fubon momo TV ในไต้หวัน มีสินค้าในพอร์ตกว่า 2 ล้านรายการ มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซภายใต้ชื่อ momoshop นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวแอปพลิเคชันในปี 2557 โดยมียอดดาวน์โหลด กว่า 1 ล้านคน และติด 3 อันดับแรกของแอปพลิเคชันในหมวดซื้อขายสินค้าใน Google Play นอกจากนี้ ยังเข้าลงทุนในธุรกิจหลักอื่น ๆ ในไต้หวัน เช่น ธุรกิจเทเลคอม ค้าปลีก ฯลฯ จึงเชื่อว่าด้วยศักยภาพของ MOMO จะเข้ามาเสริมความแข็งแรงให้แก่บริษัทฯ ในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการจัดหาสินค้า วางแผนพัฒนาตลาดร่วมกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดทีวีโฮมชอปปิ้งแก่ TVD” นายธนะบุลกล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการจัดโครงสร้างการบริหารงานภายในของ ทีวี ไดเร็ค และ ทีวีดี ช้อปปิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อลดกระบวนการทำงานภายในที่มีความซ้ำซ้อน ซึ่งจะทำให้ทั้ง 2 บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนด้านดำเนินงาน และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจซึ่งกันและกัน โดยแผนงานดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการแล้วบางส่วนตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา เช่น การลดค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ จากแนวทางดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลดีต่อการปรับลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานภายในองค์กรและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยวางแผนว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ลดลง 4-5% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มขีดความสามารถการทำกำไรที่ดีขึ้นในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้
–
