Afterpay ทำความรู้จักกับ Nick Molnar เจ้าของแอป Buy Now Pay Later ที่สร้างตัวจนมีพันล้าน
ยุคนี้ธุรกิจเทคโนโลยีกำลัง disrupt ทุกสิ่ง นำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ขยายตัวครอบงำไปทั่วโลกทุกวงการ
แต่ยังมีบริษัทท้องถิ่นฟินเทคแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย เพิ่งก่อตั้งมาเมื่อปี 2015 นามว่า “Afterpay” ได้ใช้โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง สร้างการเติบโตต่อเนื่องถึงทุกวันนี้แบบไม่มีพัก ไม่หวั่นไหวต่อคู่แข่งทั้งทุนใหญ่ต่างชาติ และทุนธนาคารยักษ์ใหญ่เดิม ๆ ในประเทศตัวเอง
เจ้าของและผู้ก่อตั้งอาฟเตอร์เพย์นี้ ก็คือนาย Nick Molnar ที่อายุปัจจุบันแค่ 31 ปี และถ้าย้อนไปปี 2015 ที่เขาก่อตั้งบริษัท Afterpay ขึ้นมานั้นก็มีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น
นิค มอลนาร์ คนนี้ถูกสื่อออสเตรเลียยกเป็น “Youngest Self-made Billionaire” หรือผู้มีทรัพย์สินเกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่สร้างธุรกิจขึ้นด้วยตัวเองซึ่งอายุน้อยที่สุดในประเทศ
วัยเรียน: ช่วยที่บ้าน นำของขึ้นขายออนไลน์
ย้อนไปสมัยเป็นนักศึกษาปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ช่วงปี 2010 นั้น ทางบ้านนิคมีร้านขายอัญมณีและเครื่องประดับในสถานีรถไฟวินยาร์ด เมืองซิดนีย์
นิคผู้อยากมีธุรกิจของตัวเอง จึงต่อยอดนำสินค้าของที่บ้านขึ้นไปขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ประมูล eBay
ผลก็คือขายดีกว่าหน้าร้านมาก โดยทำยอดขายได้กว่าพันชิ้นต่อวัน ขึ้นแท่นผู้ค้าอัญมณีที่ขายดีที่สุดบน eBay ในออสเตรเลียช่วงนั้น
ต่อมานิคจึงตัดสินใจตั้งเว็บไซต์เอง เพื่อเพิ่มกำไรเพราะไม่ต้องขายผ่านอีเบย์ นั่นก็คือเว็บ IceOnline.com.au ขายเครื่องประดับและนาฬิกาในประเทศออสเตรเลีย และ Ice.com ขายอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐอเมริกา
วัยทำงาน: กลางวันลุยงานบริษัทอื่น – กลางคืนลุยขายอัญมณีบนอีเบย์
หลังจบการศึกษาปริญญาตรี ช่วงปี 2012 หรือประมาณ 9 ปีก่อน เขาก็ไปเป็นพนักงานตำแหน่งนักวิเคราะห์ที่บริษัท M.H. Carnegie & Co. ซึ่งทำธุรกิจบริหารเงินลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน
ชีวิตช่วงนั้นของ นิค มอลนาร์ เวลากลางวันใช้ไปกับชีวิตพนักงานที่บริษัท ส่วนเย็นค่ำถึงดึกดื่นนั้น นิคใช้ไปกับการขายและจัดการออเดอร์ใน 2 เว็บไซต์ขายอัญมณีจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนนอนหลับ
หัวหน้างานในสมัยนั้นของนิค ชื่อนาย Mark Carnegie ได้รู้เรื่องราวการทำงานไป-ขายของไป และได้รับรู้ยอดขายคร่าว ๆ ของทั้ง 2 เว็บไซต์ ก็ถึงกับบอกนิคว่า
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงยังเป็นพนักงานอยู่ที่นี่ คุณควรออกไปทำธุรกิจของตัวเองเต็มเวลาได้แล้วนะ”
ซึ่งนิคเองก็เผยภายหลังว่าประโยคนี้ก็มีส่วนที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจเองในปี 2012
อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจคิดว่าเจ้านายพูดอย่างนี้เพราะนิคทำงานไม่ดี ไม่มีสมาธิ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะเจ้านายได้บอกนิคอีกด้วยว่า
“ผมให้เวลาคุณ 12 เดือน ถ้าคุณล้มเลิก ก็ยังกลับมาทำงานให้ผมได้ทุกเมื่อ”
นั่นแสดงว่ายุคนั้น นิค มอลนาร์ คงจะทุ่มเททำงานอย่างดีทั้งที่องค์กรของนายจ้างและทั้งในธุรกิจส่วนตัวไปพร้อม ๆ กัน
ก่อตั้ง Afterpay ด้วยโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง
ตลอดสองปีหลังการลาออก นิคปั้น 2 เว็บไซต์จนยอดขายเติบโตต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีไอเดียใหม่จากการรับทราบความต้องการของลูกค้าหลายรายที่อยาก “ผ่อนจ่าย” ถึงแม้ไม่กี่งวดก็ยังดี
และไอเดียนี้ก็นำไปสู่การก่อตั้งบริษัทAfterPayในปี 2014 และเปิดตัวแอปAfterpayที่ผู้ใช้แค่สร้างล็อกอิน ผูกบัตร แล้วจากนั้นก็นำแอปไปช้อปซื้อของเงินผ่อนสั้น ๆ ไม่กี่งวดจากร้านค้าที่ร่วมอยู่ในระบบนี้ได้เลย
โดยมีอีกคนที่ต้องกล่าวถึง ก็คือผู้ร่วมก่อตั้ง (co-founder) มากประสบการณ์อย่างนาย Anthony Eisen ที่ขณะนั้นอายุ 43 ปี และเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงซึ่งทำงานสายการเงินโดยตรงมาตลอด
จากนั้นบริษัท Afterpay ก็ประสบความสำเร็จเติบโตต่อเนื่อง ทำรายได้และกำไรโตก้าวกระโดดทุกปี ใช้เวลาแค่ 6 ปีหลังก่อตั้งก็มีมูลค่ากิจการเกือบ 1 ล้านล้านบาท
เปิดโมเดลธุรกิจ Afterpay
“ผ่อนสั้นมาก ปลอดดอกเบี้ย ไร้ค่าธรรมเนียม” ทำได้อย่างไร?
Afterpay ให้บริการผ่อนค่าสินค้าหรือบริการต่าง ๆ (“Buy Now Pay Later” หรือ BNPL) ในออสเตรเลีย โดยสมัครออนไลน์ผ่านแอปชื่อเดียวกัน
จากนั้นลูกค้าจะผ่อนจ่ายโดยถูกตัดบัญชีธนาคารอัตโนมัติเป็นแค่ 4 ถึง 6 งวด แต่ละงวดห่างกันแค่ 14 วัน โดยไม่มีดอกเบี้ยและปลอดค่าธรรมเนียม (ถ้าจ่ายตรงเวลา)
กลุ่มเป้าหมายหลักก็คือคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีบัตรเครดิต โดยจุดแข็งของ Afterpay คือความง่ายในการอนุมัติ
ลูกค้าใหม่จะได้วงเงินน้อย ๆ ก่อน จากนั้นถ้าผ่อนตรงผ่อนครบถึงจะได้วงเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการซื้อของชิ้นต่อ ๆ ไป
ทั้งนี้ Afterpay จะไปหารายได้และกำไรจากฝ่ายร้านค้าแทน ซึ่งเหตุผลที่ร้านค้ายอมจ่ายส่วนแบ่งให้อาฟเตอร์เพย์นั้น ก็มุ่งหวังยอดขายที่มากขึ้น
ยอดขายส่วนเพิ่มนี้ก็จากกลุ่มคนที่ไม่อยากซื้อสด แต่ก็มีกำลังซื้อพอจะผ่อนแค่ 4 – 6 งวด ไม่ถึงกับผ่อนเป็นปี ๆ ที่ก็เป็นการเสี่ยงต่อทางร้านและต่อบริษัทอาฟเตอร์เพย์เกินไป
รายได้ส่วนใหญ่ 89% ของอาฟเตอร์เพย์จึงมาจากค่าธรรมเนียมที่หักจากร้านค้าต่าง ๆ รองลงไปเป็นรายได้จากฝ่ายลูกค้าผู้บริโภค เช่น ค่าปรับจ่ายช้า รวมประมาณ 11%
หลายคนอาจจะกลัวว่า สุดท้ายฝ่ายร้านค้าก็อาจจะบวกค่าธรรมเนียมตรงนี้ลงไปในราคาสินค้าสำหรับผู้ซื้อผ่อนโดยเฉพาะ
แต่บริษัทอาฟเตอร์เพย์ก็เล็งเห็นจุดนี้ จึงได้ออกกฎห้ามร้านค้าในระบบทำการบวกค่าธรรมเนียมเพิ่มไปในราคาสินค้าไว้ด้วยแล้ว (no surcharge rule)
แน่นอนว่าช่วงแรก ๆ อาฟเตอร์เพย์ต้องบุกเบิกโมเดลใหม่ด้วยความยากลำบาก แต่ถึงขั้นหนึ่งเมื่อมีฐานร้านค้าที่ยอมรับกฎนี้ในระดับหนึ่ง มีสินค้าจำนวนหนึ่ง และมีผู้บริโภคมากพอ ก็จะเกิดการยอมรับและดึงดูดกันและกันเข้ามาได้เรื่อย ๆ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า …
ไอเดียหนึ่งที่เราอาจได้จากเรื่องราวของ Afterpay ก็คือการ “บิด” หรือพลิกแพลงโมเดลธุรกิจที่รายอื่น ๆ “เขาทำกัน” มานานไปสักนิด ก็อาจนำความสำเร็จมาให้แบบคิดไม่ถึง
เช่น ถ้าในธุรกิจที่เราทำอยู่นั้นเป็นบริการประสานระหว่างฝ่าย A กับ ฝ่าย B โดยคู่แข่งรายอื่น ๆ ก็คิดเงินจากฝ่าย B มาตลอดล่ะก็…
หากเราสร้างความแตกต่าง โดยไปคิดเงินจากฝ่าย A แทน ก็อาจประสบความสำเร็จบนความแตกต่างนั้นก็เป็นได้
เช่นเดียวกับที่Afterpayหันไปคิดเงินจากฝ่ายร้านค้าแทนที่จะเป็นผู้ซื้อผ่อน จึงแตกต่างและดึงดูดกลุ่มลูกค้าผู้ซื้อผ่อนได้มากกว่า
หรือถ้าในวงการธุรกิจเรานั้นมีระยะการชำระเงิน จำนวนเงิน และจำนวนงวดที่เป็นมาตรฐานปฏิบัติกันอยู่ล่ะก็…
หากเราลองเปลี่ยนให้แตกต่าง เช่นตัวอย่างที่อาฟเตอร์เพย์ลดจำนวนงวดเหลือแค่ 4 งวด ลดระยะเวลาต่องวดเหลือแค่ 14 วัน ก็อาจสร้างความแตกต่างที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้
ซึ่งในกรณีของอาฟเตอร์เพย์ก็ทำให้บริษัทมีภาระน้อยลง ดำเนินงานไปรอดในยุคแรก ๆ ได้แม้ยังเป็นสตาร์ตอัปอยู่
จากวิธีคิดนี้ ธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สายการเงินก็อาจนำไปประยุกต์พลิกแพลงโมเดลธุรกิจตัวเองดูบ้างได้เช่นกัน
ต่างอย่างไรกับการผ่อน 0% ในไทย?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่Afterpayทำมา 7 ปีนั้น บริษัทบัตรเครดิตทั้งหลายในไทยทำมานานแล้วในชื่อเรียกกันติดปากว่า “ผ่อน 0%” แต่แตกต่างกันที่ในไทยจะผ่อนกันรายเดือน และส่วนใหญ่เป็นเวลานานนับ 10 เดือนขึ้นไป
ซึ่งการผ่อนยาวแบบนี้ทำให้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จึงต้องดำเนินงานโดยธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ค่อนข้างใหญ่แต่แรก ไม่ใช่สตาร์ตอัปเล็ก ๆ แบบที่Afterpayทำ
และนี่เองที่อาฟเตอร์เพย์ตั้งแต่แรกก่อตั้งมา จึงหดงวดผ่อนเหลือเพียง 14 วันต่องวด และลดจำนวนงวดเหลือเพียง 4 งวดในยุคแรก ๆ ก่อนจะขยายเป็น 6 งวดในยุคหลัง ๆ
เผยตัวเลขเติบโตสุดน่าทึ่ง
หลังก่อตั้งในปี 2014 แค่ 3 ปีผ่านไป คือเดือนมิถุนายนในปี 2017 บริษัท Afterpay ก็จดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นออสเตรเลีย (ASX) โดยมีราคาหุ้นวันแรกประมาณ 3 เหรียญออสเตรเลีย
…และแค่เกือบ 4 ปีต่อมา คือเมื่อเดือนกุมภา ปี 2021 ราคาหุ้นAfterpayขึ้นมาอยู่ที่ราว 150 เหรียญออสเตรเลีย หรือเรียกได้ว่าขึ้นมาแรงถึง “50 เด้ง” ก่อนที่ล่าสุดจะปรับฐานเพราะถูกขายทำกำไรลงมาบ้างที่ราว ๆ 100 เหรียญออสเตรเลียในเดือนนี้ (ธันวาคม 2021)
ที่หุ้นพุ่งต่อเนื่องขนาดนี้ ก็เพราะแม้จะเป็นบริษัทมหาชนแล้ว Afterpayก็ยังโตราวปีละ 80% ต่อปี ตลอดมาตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2021 ถือเป็นสุดยอด “หุ้นเติบโต” (growth stock) ที่ร้อนแรงไม่น้อย
จากรายได้ราว 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 เป็นประมาณ 230 ล้านในปีต่อมา และเป็นเกือบ 450 ล้านในปีถัดมา และปีนี้ก็น่าจะทำได้เกือบ 9 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ (ดูจากครึ่งปีแรกที่ทำได้ 417 ล้านดังที่กล่าวไป)
ทุกวันนี้อาฟเตอร์เพย์มีร้านค้าบนระบบเกือบ 1 แสนร้านโดยส่วนใหญ่อยู่ในออสเตรเลีย รอง ๆ ไปก็มีทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรปบางประเทศ และเอเชียบางประเทศ
จากการแถลงของ บ. Afterpay เอง มูลค่ารวมการซื้อของผ่านแอปนี้ทั่วโลกครึ่งปีแรกของปี 2021 อยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3 แสนล้านบาท โตขึ้นราว 1 เท่าตัวเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2020
จากยอดเงินรวมนี้ หักเข้าบริษัทเป็นรายได้ครึ่งปีแรกที่ 417 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนี่หมายความว่าAfterpayหักค่าต๋งจากร้านค้าประมาณ 4% ของราคาสินค้านั่นเอง
อัตราการเติบโตนี้ย่อมดึงดูดให้บริษัทยักษ์ ธนาคารใหญ่ พยายามลงไปแข่งขัน แต่ก็ยังไม่กระทบอาฟเตอร์เพย์เลยแม้แต่น้อย นำไปสู่การพยายามเข้าซื้อกิจการ ทั้งจากธุรกิจแนวใกล้เคียงกัน และกลุ่มทุนอื่น ๆ
ตัวอย่างชื่อบริษัทอื่น ๆ ก็เช่น ยักษ์อีคอมเมิร์ซ PayPal, Affirm (ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ ด้วย), Klarna, Zip, และอีกหลายบริษัท
Afterpay ถูกเทกโอเวอร์ด้วยมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท
ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทฟินเทคใหญ่จากอเมริกาอย่าง Square Inc. ของ Jack Dorsey อดีตซีอีโอของทวิตเตอร์ ได้เข้าซื้อกิจการAfterpay โดยให้มูลค่ากิจการสูงถึง 29,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 955,000 ล้านบาท สูงเป็นสถิติใหม่ของการซื้อขายกิจการสัญชาติออสเตรเลีย
บริษัทแม่ Square นี้ให้บริการเครื่องรูดบัตรแบบง่าย สำหรับร้านค้าย่อย ๆ ไว้เสียบกับมือถือแล้วรับเงินจากการ์ดลูกค้าได้เลย ซึ่งจากนี้ไปก็จะมีบริการผ่อนของAfterpayไว้ให้ลูกค้าเลือกได้ด้วย
ในเมื่อหุ้นAfterpayราคาเพิ่มขึ้นมหาศาล แน่นอนว่าหุ้นส่วนที่เป็นของ Nick Molnar นั้นย่อมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาลตามไปด้วย
นิตยสาร Forbes รายงานความมั่งคั่งส่วนตัวของ Nick Molnar ณ ปัจจุบันไว้ว่า มีสินทรัพย์รวมหุ้นแล้วประมาณ 1.4 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 4.8 หมื่นล้านบาท
และนี่เองทำให้สื่อออสเตรเลียยก Nick Molnar ก้าวกระโดดขึ้นเป็น billionaire (ในหน่วยเงินดอลลาร์สหรัฐ) ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แดนจิงโจ้ไปแล้ว
อ้างอิง: forbes.com / onlineretailer.com / dailymail.co.uk / smartcompany.com.au / cnbc.com / cnbc.com / sydney.edu.au / nbr.co.nz / 9now.nine.com.au / businessinsider.com.au / linkedin.com / finance.yahoo.com
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /

