ด้วยความที่เป็นทรัพยากรหลักและแหล่งรายได้สำคัญ น้ำมันจึงผูกติดกับซาอุดีอาระเบียมาอย่างช้านาน โดยเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา Aramco บริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุฯ ก็เพิ่งเรียกเสียงฮือฮา แซง Apple ขึ้นเป็นบริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก
ทว่าก็เป็นที่รู้กันว่าอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังหันหาพลังงานไฟฟ้า มุ่งเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตรถ EV และค่ายรถแทบทุกค่ายต่างประกาศว่าในอนาคตจะเลิกผลิตรถใช้น้ำมัน ฝ่ายซาอุฯ ก็รู้ดีว่าน้ำมันในประเทศร่อยหรอลงไปทุกที ๆ
Vision 2030 คือโครงการที่รัฐบาลซาอุฯ ตั้งขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันและกระจายการลงทุนไปสู่ทิศทางใหม่ ๆ เพื่อปรับเข็มทิศเศรษฐกิจและทิศทางประเทศ ที่น่าจะปรากฏให้เป็นรูปธรรมในปี 2030 ซึ่งพระเอกของโครงการนี้คือแหล่งท่องเที่ยว
อยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของ Vision 2030 และข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยวที่รัฐบาลซาอุฯ หมายมั่นปั้นมือให้เป็นแหล่งรายได้ใหม่ของประเทศ อ่านได้จากบรรทัดถัดจากนี้
เมืองอัจฉริยะใหญ่ยักษ์สุดล้ำและสวนสนุกธีมแท่นขุดเจาะจากวิสัยทัศน์ของเจ้าชาย
มีการประเมินกันว่าอีก 60 ปีจากนี้แหล่งน้ำมันที่ซาอุฯ มีอยู่จะหมดไป แม้เป็นกรอบเวลาที่นานเท่าอายุของคนรุ่นหนึ่ง แต่ถ้าไม่เตรียมพร้อม เมื่อเวลานั้นมาถึง ซาอุฯ อาจเกิดวิกฤตใหญ่ได้ นี่จึงเกิด Vision 2030 ขึ้น
เจ้าของไอเดียและผู้ริเริ่ม Vision 2030 คือเจ้าชาย Mohammed bin Salman Al Saud มกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์ซาอุฯ ที่จะได้ขึ้นครองราชย์และบริหารประเทศต่อจาก สมเด็จพระราชาธิบดี Salman bin Abdulaziz Al Saud
เจ้าชาย Mohammed bin Salman Al Saud เป็นสมาชิกราชวงศ์ที่มีแนวคิดปฏิรูป โดยพระองค์เริ่มโครงการ Vision 2030 ขึ้นในปี 2016 โดยพระเอกโครงการนี้คือ Neom เมืองอัจฉริยะบนพื้นที่ 26,500 ตารางกิโลเมตร ที่มีทั้งสกีรีสอร์ตหิมะ แหล่งพักผ่อน โรงภาพยนตร์ และสนามบิน พร้อมด้วยสาธารณูปโภคทันสมัย
Neom อยู่ในจังหวัด Tabuk ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุฯ โดยใช้งบก่อสร้าง 500,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 18 ล้านล้านบาท) คาดว่าเมื่อแล้วเสร็จในปี 2026 จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ปีละ 700,000 คน
แหล่งท่องเที่ยวใหม่ในโครงการ Vision 2030 ยังมี The Rig สวนสนุกธีมแท่นขุดเจาะกลางทะเล บนพื้นที่ 150,000 ตารางเมตร ภายใต้งบก่อสร้าง 5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 180,000 ล้านบาท)
Neom และ The Rig คงเป็นเพียงแหล่งท่องเที่ยวแห่งแรก ๆ ในโครงการ Vision 2030 และน่าจะมีอีกหลายโครงการตามมา เพื่อเพิ่มรายได้ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลซาอุฯ ประเมินว่าในปี 2031 น่าจะเพิ่มเป็นปีละ 100 ล้านคน
แม้ต้องจับตาดูกันต่อไปในระยะยาวว่าโครงการ Vision 2030 จะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน แต่โครงการนี้ก็มีความเป็นไปได้
เพราะแม้ปัจจุบันน้ำมันยังถือเป็นรายได้หลักของซาอุฯ โดยข้อมูลจากปี 2019 ระบุว่า น้ำมันครองสัดส่วน 80% ของรายได้การส่งออก และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 40% ของประเทศก็มาจากน้ำมัน และวิกฤตยูเครนปีนี้คงทำให้ทำเงินจากน้ำมันได้มากขึ้น
แต่ไตรมาสแรกปีนี้ ซาอุฯ ก็ทำเงินจากธุรกิจนอกเหนือจากน้ำมัน (Non oil) ได้ 21,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 758,000 ล้านบาท) และปี 2021 อันดับในดัชนีด้านการเดินทางและท่องเที่ยวซึ่งชี้วัดการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของซาอุฯ ก็อยู่อันดับที่ 33 ขึ้นมา 10 อันดับจากการประเมินครั้งก่อนเมื่อปี 2019
สำหรับโครงการ Vision 2030 ใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุฯ (PIF) โดยกองทุนดังกล่าวยังเป็นกำลังหลักในการซื้อ New Castle สโมสรฟุตบอล Premier League อังกฤษ เมื่อปลายปี 2021 อีกด้วย
ส่วนในอนาคตถ้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของซาอุฯ เฟื่องฟู จนทำรายได้เข้าประเทศแซงหน้าอุตสาหกรรมน้ำมันได้จริงตามเป้า ดูไบ นครรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ดังจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของตะวันออกกลางมานานอาจต้องเสียแชมป์
และอาคาร Jeddar Tower ในซาอุฯ ที่หยุดสร้างมานาน ก็จะได้สร้างให้เสร็จ จนแซง Burj Kalifah ของดูไบ ขึ้นเป็นอาคารสูงสุดในโลกแห่งใหม่/dw, arabnews, wikipedia blooloop, weforum
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



