ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้นและเข้าหาเราได้แทบทุกทางทุกเวลาเช่นในปัจจุบัน คงแทบไม่ต้องอธิบายแล้ว Viral นั้นหมายถึงอะไร ทว่าย้อนไปกลางยุค 2000 ขณะที่ Viral ยังเป็นเรื่องใหม่ก็มีบริษัทหนึ่งเกิดขึ้น
BuzzFeed ก่อตั้งเมื่อปี 2006 โดย John Peretti เซียนเทคจาก MIT สถาบันเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐฯ และผู้ร่วมก่อตั้ง The Huffington Post เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ดังของสหรัฐฯ ที่เล็งเห็นว่า เว็บไซต์รวมข่าวกำลังเป็นกระแสจะเพิ่มความสะดวกให้คนที่ต้องเสพข่าวผ่านสื่อออนไลน์ เพราะไม่ต้องเปิดหลายเว็บพร้อมกัน จนทำให้เว็บแบบนี้จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น
Jonah Peretti คิดถูก โดยถัดจากนั้น BuzzFeed ก็มียอดคนเข้าไปดูเพิ่มขึ้น ๆ พร้อมกันนี้ยังสามารถขายลิงก์ให้กับสื่อโซเซียลที่ต้องการเพิ่มยอดผู้ใช้ จนที่สุดก็ต่อยอดสู่การขายโฆษณา แต่ก็มีปัญหาหนึ่งที่ทั้งกวนใจผู้บริหารและส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแพลตฟอร์ม
BuzzFeed ถูกวิจารณ์ว่า ทำข่าวเองไม่เป็นเน้นแต่รวมกับลอกข่าวของสำนักข่าวอื่นมาจนดูไม่น่าเชื่อถือ นี่ทำให้ในปี 2011 BuzzFeed ตั้งสำนักข่าว BuzzFeed News ขึ้น ซึ่งยิ่งไปได้สวยเมื่อผนึกกำลังกับบริษัทด้านเทคโนโลยีข้อมูลที่ซื้อเข้ามา
ถัดจากนั้น BuzzFeed News ก็ถือเป็นบริษัทที่สร้างชื่อให้ BuzzFeed ท่ามกลางสำนักข่าวออนไลน์หลายแห่งของสหรัฐฯ ที่เกิดตามมา Vice, Vox และ Insider พร้อม ๆ กับ พฤติกรรมการเสพข่าวของผู้คนที่หันมาเสพข่าวผ่านสื่อออนไลน์และสื่อโซเชียลกันมากขึ้น
ปีต่อ ๆ มา BuzzFeed ก็เผชิญทั้งข่าวร้ายและข่าวดี โดยปี 2019 จำเป็นต้องปลดพนักงาน 200 คน เพื่อช่วยสถานการณ์การเงินของบริษัท ปีต่อมาซื้อกิจการ The Huffington Post
ปี 2021 IPO และยังไปคว้า Pulitzer รางวัลระดับโลกของวงการสื่อจากข่าวค่ายกักกันชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ในจีน
พอต้นปี 2023 BuzzFeed เรียกเสียงฮือฮา ด้วยการบอกว่าเตรียมจะสร้างคอนเทนต์และเขียนข่าวโดยใช้ ChatGPT – AI ที่ Microsoft ให้ทุนพัฒนา ดันราคาหุ้นขึ้นมา 150%
อย่างไรก็ตาม ช่วงรอยต่อระหว่างปี 2022 ถึงปี 2023 เกิดข่าวสะเทือนวงการเทคโนโลยีขึ้น โดยบริษัทยักษ์เทคในสหรัฐฯ หลายแห่ง ทั้ง Meta Amazon Alphabet Twitter และ Microsoft พากันปลดพนักงานล็อตใหญ่ สืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ฉุดยอดขายโฆษณาลดลง
การปลดพนักงานยังลามมาถึงวงการสื่อออนไลน์สหรัฐฯ อย่าง Vice, Vox และ Insider ด้วย จนที่สุดลามต่อเนื่องมาถึง BuzzFeed
Buzzfeed สั่งปิด BuzzFeed News เพราะพิษเศรษฐกิจ ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ตัดลดงบ จนซื้อโฆษณา BuzzFeed News น้อยลงไปอีก และทำกำไรแทบไม่ได้เลย
นอกจากนี้ ประกอบกับพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้คนเปลี่ยนไป เบื่อกับข่าวท่วมโลกออนไลน์ และหันไปหาคอนเทนต์วิดีโอ บน Youtube กับ TikTok มากขึ้น ฉุดยอดการเข้ามาดูข่าวในเว็บ BuzzFeed News น้อยลงไปอีก
การสั่งยุบ BuzzFeed News ทำให้พนักงานเกือบทั้งหมดต้องตกงาน ส่วน Edgar Hernandez ประธานฝ่ายบริหารรายได้กับ Christian Baesler ประธานฝ่ายปฏิบัติการของ BuzzFeed ถูกไล่ออก แต่นักข่าวบางคนจะได้ย้ายไปกับ The Huffington Post ซึ่งยังมีแฟนเหนียวแน่นและสามารถทำกำไรได้
จากนี้มีความเป็นไปได้ว่า BuzzFeed จะเปลี่ยนไปเน้นคอนเทนต์วิดีโอ ข่าวไลฟ์สไตล์ ธุรกิจบันเทิงและเทศกาลดนตรี จากบริษัทในเครืออีกหลายแห่งที่ยังมีอยู่ ส่วนข่าวก็ต้องติดตามว่าจะนำ AI มาใช้ได้ดีแค่ไหนและฟื้นธุรกิจข่าวกลับคืนมาได้หรือไม่
เรื่องของ BuzzFeed และ BuzzFeed News แสดงถึงการเล็งเห็นโอกาสจากเทรนด์ที่กำลังจะมา และตัดสินใจสร้างเป็นธุรกิจอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เสริมด้วยเทคโนโลยี เพิ่มความทุ่มเทกับคว้าบริษัทดังมาอยู่ใต้ชายคา
ขณะเดียวก็เป็นบทเรียนว่า หากแก้ปัญหาสะสมไม่ได้และไม่ปฏิรูปตัวเอง ที่สุดก็ตามเทรนด์ไม่ทันและต้องเสียหายหนักจนต้องปิดธุรกิจสำคัญ แล้วต้องเดินหน้าในทิศทางอื่น ๆ จากสิ่งที่เหลืออยู่แทน/cnn, bbc, theguardian, wikipedia, gizmodo
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ Website: Marketeeronline.co
Facebook: www.facebook.com/marketeeronline



