อมรินทร์ กรุ๊ป อยู่มา 47 ปี วันนี้ขอฉายภาพใหม่ที่ต้องใหญ่กว่าเดิม

ในช่วงที่ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ค่อย ๆ ถูกดิสรัปต์จากสื่อดิจิทัลนั้น เชื่อว่าใจของผู้บริหารและพนักงานเต็มไปด้วยความกังวล และกลัว

การยอมทุ่มเงินก้อนโตกว่า 3 พันล้านบาทเพื่อเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิทัลเมื่อปี 2557 หวังสร้างรายได้ใหม่ทดแทน กลายเป็นขาดทุนหนักต่อเนื่อง

แต่ในที่สุดอมรินทร์ กรุ๊ป ก็สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตโควิดมาได้อย่างสวยงาม

ปี 2565 ยังทำรายได้ 4,274 ล้านบาท กำไร 474 ล้านบาทสูงที่สุดนับตั้งแต่ตั้งบริษัทมา

ปี 2566 ประกาศรีแบรนด์และจัดทัพใหม่ เปลี่ยนชื่อจากจากอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง เป็นอมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์

พร้อม ๆ กับทุ่มเงินลงทุนก้อนใหญ่กว่า 2,000 ล้านบาทภายใน 3 ปีเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ปี 2567 ยังเตรียมเปิดร้านหนังสือ “นายอินทร์”  ที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ที่แพงเป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย

และวางแผนขยายงาน “บ้านและสวนแฟร์” ไปจัดที่ประเทศเวียดนาม

ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการอำนวยการใหญ่ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) เคยกล่าวกับ Marketeer ว่า

“ทุกครั้งที่เจอปัญหาเราต้องตัดความกลัวไปก่อนให้ได้ พอตัดความกลัวได้ทำให้เรากล้าที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็จะสนุกไปกับมัน”

วันนี้รอยยิ้มบนใบหน้าและการแถลงข่าวที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มีแผนงานชัดเจน และเป้าหมายรายได้ 6,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า

สะท้อนให้เห็นว่าเธอกลับมาสนุกเต็มที่อีกครั้งแล้ว

ตามไปถอดรหัสเรื่องเล่าความสำเร็จของ อมรินทร์ กรุ๊ป ปรับตัวอย่างไรให้แพ้ไม่เป็น

เหลียวหลังแลอดีต 47 ปี อมรินทร์ กรุ๊ป

ปี 2519 นิตยสาร “บ้านและสวน” ฉบับแรกวางตลาดจากจุดเริ่มต้นของกองบรรณาธิการเล็ก ๆ ที่ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ กับเพื่อน ๆ ไม่กี่คนร่วมกันผลิตขึ้นมา

ปี 2536 เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ “บริษัท อมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)”

หลังจากนั้นอมรินทร์ก็เข้าสู่ยุคทอง กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ที่มีนิตยสารในเครือกว่า 10 ปก มีสำนักพิมพ์กว่า 20 แห่ง ผลิตหนังสือเล่ม รับจ้างผลิตปีละหลายร้อยปก รับจัดจำหน่าย และเปิดร้านจัดจำหน่ายเอง

20 มิถุนายน ปี 2537 ร้าน “นายอินทร์ ท่าพระจันทร์” สาขาแรก เปิดให้บริการ

ปี 2543 “งานบ้านและสวนแฟร์” จัดขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเตรียมฉลองอายุครบ 25 ขวบของนิตยสารบ้านและสวน

เป็นช่วงที่คนของอมรินทร์ กรุ๊ปต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับโอกาสในการขยายงานที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

แล้วดิจิทัลดิสรัปชันก็เข้ามา

เป็นช่วงเวลาที่งานในส่วนของธุรกิจสิ่งพิมพ์ขยายตัวต่อเนื่อง และมีพนักงานเพิ่มขึ้นเกือบ 2 พันคน

เป็นยุคที่ 2 ที่อมรินทร์ต้องปรับตัวเองตลอดเวลาเช่นกัน เพื่อรับมือกับปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ

ปี 2557 ลงทุนก้อนใหญ่กว่า 3 พันล้านบาท ประมูลช่องทีวีดิจิทัล ด้วยความหวังที่ว่าการเป็นเจ้าของช่องทีวีจะสร้างรายได้มาช่วยทางด้านสิ่งพิมพ์ที่กำลังเจอปัญหาหนักได้

สงครามทีวีดิจิทัล โหดกว่าที่คิด นอกจากต้องใช้เงินจำนวนมากทั้งในเรื่องค่าสัมปทาน การผลิตคอนเทนต์แล้วต้องมาเจอกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่ดูทีวีน้อยลง เม็ดเงินโฆษณาที่ลดลง แต่จำนวนช่องเพิ่มมากขึ้น

ในปี 2557-2559 ธุรกิจทีวีขาดทุนอย่างต่อเนื่อง บริษัทขาดเงินทุนหมุนเวียนอย่างหนัก

ในปี 2559 ยอมเปิดทางให้กลุ่มวัฒนภักดีเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เพื่อช่วยให้อมรินทร์รอดพ้นจากปัญหาทางการเงิน

พร้อม ๆ กับวางกลยุทธ์ใหม่เพื่อความอยู่รอดในธุรกิจหลักคือ On Print, Online, On Air, On Ground และ On Shop โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเป็นออมนิมีเดีย ออมนิชาแนล เชื่อมโยงกันได้ในทุกช่องทางสื่อเพื่อสร้างพลังและตอบโจทย์ของลูกค้า

ธุรกิจโรงพิมพ์เคยสร้างรายได้หลักต้องพลิกเกมขยายไลน์การผลิตเป็นแพ็กเกจจิ้ง รองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังบูม

แมกาซีนอาจจะฝืนกระแสไม่ได้ต้องลดจำนวนหัวลง ในขณะที่หนังสือเล่มยังคงขายได้ ส่วนอมรินทร์ทีวีช่อง 36 เรตติ้งอันดับก็ดีขึ้น

เงินมี กลยุทธ์เยี่ยม ถ้าไปให้รอดคนต้องพร้อม เป็นยุคหนึ่งที่อมรินทร์ต้องมาให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องพัฒนาคน

ในที่สุดในปี 2561 บริษัทสามารถกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งหนึ่ง

และวิกฤตโควิด-19 ก็เกิดขึ้น 

โชคดีอย่างหนึ่งก็คือวิกฤตโควิด-19 เกิดขึ้นในวันที่การเงินของอมรินทร์กรุ๊ปแข็งแรงมากแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม ยอดรายได้ที่เคยมาจากงานแฟร์ใหญ่ บ้านและสวนและอีเวนต์อื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบจากจำนวนครั้งที่จัดน้อยลง จำนวนบูธที่ลดลง เพราะผู้ประกอบการรายย่อยต้องปิดตัวหรือพักกิจการไปจากโควิด-19

หน้าร้านถูกปิดก็เร่งขายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ กิจกรรมออนกราวด์บุ๊กแฟร์ ช่วงไหนจัดได้จัดเลย กลายเป็นถี่ขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งจัดงานแฟร์ในรูปแบบ Hybrid Fair ที่ผสานงานแฟร์รูปแบบ On Ground และ Online เข้าด้วยกัน

โชคดีที่หนังสือของสำนักพิมพ์บ้านและสวนยอดขายโตถึง 40% โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับการดูแลต้นไม้ เกี่ยวเนื่องมาจากต้นไม้ที่ขายดีมากขึ้นในช่วงโควิด-19

ในขณะที่อมรินทร์ ทีวี ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น พร้อม ๆ กับการบริหารต้นทุนทำให้อมรินทร์ กรุ๊ป ฝ่าวิกฤตมาได้อีกครั้ง

จากอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง เป็นอมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์  

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอมรินทร์ กรุ๊ป ประกาศรีแบรนด์ใหม่ เปลี่ยนชื่อจากอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง เป็นอมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ 

เป็นการตอกย้ำการเป็นธุรกิจที่เป็นมากกว่า พริ้นติ้ง หรือ พับลิชชิ่ง  แบ่งธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่มหลัก และ 2 ธุรกิจที่ร่วมทุน ประกอบด้วย

1. ธุรกิจมีเดียแอนด์อีเวนต์ ธุรกิจที่ประสานกับสื่อ นิตยสาร สื่อออนไลน์ ไปจนถึงธุรกิจจัดงานแฟร์และอีเวนต์

2. ธุรกิจสำนักพิมพ์ เป้าหมายเพิ่มจำนวนการผลิตหนังสือเล่มประมาณ 500 ปก และหนังสือดิจิทัลประมาณ 770 เรื่องต่อปี

3. ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจการพิมพ์ที่ให้บริการได้ตั้งแต่การพิมพ์หนังสือเล่มเดียวไปจนถึงหลักล้านเล่ม

4. ธุรกิจจัดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ และ Digital Content ปัจจุบันมีเครือข่ายร้านพันธมิตรมากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ มีร้านนายอินทร์ 111 สาขาทั่วประเทศ

5. ธุรกิจทีวีดิจิทัล ปัจจุบันเรตติ้งทั่วประเทศอยู่ใน TOP 7

ส่วนใน 2 บริษัทที่อมรินทร์ถือหุ้นร่วม คือ บริษัทคาโดคาวะ อมรินทร์ จำกัด และบริษัทเด็กดี อินเตอร์ แอคทีฟ จำกัด

9 ปีกับการลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งของอมรินทร์

ในปี 2566-2568 ยังพร้อมเตรียมเงินไว้ลงทุนอีก 2,100 ล้านบาท เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยแบ่งเป็น

600 ล้านบาท ทางด้านคอนเทนต์หนังสือ, ดิจิทัล, โทรทัศน์ ทั้งรูปแบบการซื้อลิขสิทธิ์ต่างประเทศ และสร้าง Local Content เพื่อพัฒนา Soft Power ให้กับประเทศไทย

250 ล้านบาท Infrastructure เช่น การสร้างสตูดิโอใหม่, การพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์

250 ล้านบาท Technology เช่น AI, ML เพื่อต่อยอดธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ

และ 250 ล้านบาท Packaging เครื่องจักรและเทคโนโลยีการพิมพ์รองรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์

ส่วนเงินลงทุนก้อนใหญ่สุด 800 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ ทั้งทำเอง และจากการร่วมลงทุน

ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้โฟกัสในเรื่องนี้มากนัก แต่ต่อไปจำเป็นต้องทำเพื่อโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดด

โดยก่อนหน้านี้เคยเข้าไปร่วมลงทุนกับ “คาโดคาวะ”บริษัทสื่อชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น และล่าสุดได้ใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาท ซื้อหุ้นเว็บไซต์ Dek-D ที่ได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 23 ปีจำนวน 51% เพื่อนำมาต่อยอดกับธุรกิจของอมรินทร์

ส่วนงานแฟร์ปีหนึ่ง ๆ เตรียมไว้ประมาณ 16-20 งาน โดยเตรียมขยายงานแฟร์ใหม่ ๆ เช่น งาน AMARIN EXPO ที่จะไปจัดตามส่วนภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่

แล้วยังเตรียมขยายงาน “บ้านและสวนแฟร์” ไปในต่างประเทศอีกด้วย โดยตั้งเป้าไปประเทศเวียดนามก่อนเป็นประเทศแรก

ไฮไลท์หนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2567 คือการเปิดร้านหนังสือ “นายอินทร์” สาขาใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในอภิมหาโปรเจกต์ “วันแบงค็อก” (เฟสแรก) ของกลุ่มสิริวัฒนภักดี ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยจะมีพื้นที่ประมาณ 1,500  ตร.ม. จากปกติร้านใหญ่สุดขนาด 500-600 ตร.ม.

การทำร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ที่แพงเป็นอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยเพราะผู้บริหารต้องการให้เป็น Destination ของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวเหมือนร้านหนังสือใหญ่ในประเทศเกาหลี

ในร้านอาจจะมีกิจกรรมต่าง ๆ มาเสริมเพื่อสร้างเป็น Community ของคนรักการอ่านด้วย

สำหรับแมกาซีนหัวใจหลักดั้งเดิมปัจจุบันเหลือ 5 หัว คือ แพรว บ้านและสวน ชีวจิต สุดสัปดาห์ และ เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก

ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการอำนวยการใหญ่ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ AMARI ประกาศตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 30% หรือภายในปี 2569 จะมีรายได้แตะระดับ 6,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท

สิ่งหนึ่งที่ อมรินทร์ กรุ๊ป ให้ความสำคัญมาตลอดในการทำธุรกิจคือ การทำธุรกิจไปพร้อมกับการช่วยเหลือสังคม ล่าสุดได้มีการเปิดตัวโครงการ “อมรินทร์ อาสา” 2 โครงการสำคัญในปีนี้ คือ โครงการ “หนึ่งหัวใจ สู่ชีวิตใหม่ ระดมทุน 50 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขั้นวิกฤต

และโครงการ “อ่านพลิกชีวิต” ร่วมบริจาคหนังสือจำนวน 150,000 เล่ม ให้ห้องสมุดโรงเรียนกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ

วันนี้องค์กรของ อมรินทร์ กรุ๊ป กำลังกลับมาในภาพใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer