ทศพร นิษฐานนท์ ทำความรู้จักผู้บริหารค่ายมือถือที่มาทำขายตรง
แอมเวย์ ประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2530 มีพนักงาน 10 คน กับผลิตภัณฑ์แรกเริ่มเพียง 7 ชนิด
มียอดขายในปีแรก 61 ล้านบาท
วันนี้แอมเวย์มีสินค้า 250 รายการ
มียอดขายปี 2565 ที่ผ่านมา 1.8 หมื่นล้านบาท เป็นประเทศที่มียอดขายสูงสุดอันดับ 5 ของแอมเวย์ทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
The Next Chapter ของบริษัทขายตรงอันดับ 1 จะเป็นอย่างไรในโลกใบใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
ตามไปถอดรหัสวิธีคิดของ ทศพร นิษฐานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัดคนใหม่
อดีตผู้บริหารบริษัทด้านเทคโนโลยี ซัมซุง และหัวเว่ย ที่วันนี้กำลังมี Passion กับธุรกิจขายตรง

เมื่อ ทศพร นิษฐานนท์ ในวัย 46 ปี ต้องการหาความท้าทายใหม่ ๆ ในชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม
ส่วนบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) บริษัทขายตรงเบอร์ 1 ของเมืองไทยก็กำลังอยู่ในระหว่างการทำ Digital Transformation เพื่อหนีจากการถูกดิสรัปชัน
การรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัดคนใหม่ของเขาเมื่อเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา
จึงมีเป้าหมายที่จะสร้าง The Next Chapter ให้กับแอมเวย์ในโลกใบใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม โดยใช้ประสบการณ์ 25 ปี ในวงการเทเลคอมและไอที หลอมรวมกับผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสินทรัพย์เดิมที่แข็งแกร่งของแอมเวย์
ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทศพรต่างจาก 2 ผู้บริหารเดิมคนสำคัญของแอมเวย์คือ ปรีชา ประกอบกิจ ลูกหม้อเก่าแก่ของแอมเวย์ ที่นั่งเก้าอี้บริหารมานานกว่า 20 ปี และ กิจธวัช ฤทธาวี ลูกหม้ออีกคน ที่ขึ้นมาบริหารต่อในปี 2555
ทศพรเคยร่วมงานกับซัมซุงประเทศไทยนานถึง 12 ปี ดูแลงานด้านกำหนดกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจกลุ่มไอทีและโมบายของซัมซุง ทั้งในประเทศไทย และในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ตโฟนของซัมซุงให้กลายเป็นแบรนด์มือถือเบอร์ 1
หลังจากนั้นก็เข้าไปรับตำแหน่งรองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย เมื่อปี 2559
ล่าสุดก่อนมาร่วมงานกับแอมเวย์ เมื่อปี 2563 เขาคือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. ซินเน็ค ธุรกิจดิสทริบิวเตอร์สินค้าไอทีชั้นนำของไทย
“เหตุผลที่ย้ายมาที่นี่ เพราะผมอยากเรียนรู้เรื่องสินค้าของคอนซูเมอร์พวก FMCG อยู่แล้ว อยากได้มาสัมผัส รู้สึกท้าทาย เพราะเราอยู่สายเทคโนโลยีมานาน”
เขาบอกว่าเป็นดีลที่ใช้เวลาไม่นาน เพราะแอมเวย์กำลังดูคนที่จะมารับตำแหน่ง MD คนใหม่ตาม Succession plan อยู่แล้ว

เป็นช่วงเวลาที่แอมเวย์ต้องการผู้บริหารที่มีจุดแข็งในเรื่องเทคโนโลยี เพราะในช่วงวิกฤตโควิด-13 ปี 2563 บริษัทต้องการเร่ง Speed ในการโกออนไลน์
“ตอนแรก ๆ ผมเข้ามาดูในเรื่องเทคโนโลยี แล้วมาดูเรื่องสินค้า ดูช็อป ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และขยับขยายมาดูฝ่ายขาย ดูทีมยุทธศาสตร์ จากนั้นก็ขึ้นมารับตำแหน่งเป็นเอ็มดีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา”
แน่นอนเป็นความท้าทายในเรื่องใหม่ ๆ ที่ต่างจากเดิม ซึ่งมีอยู่ 3 เรื่องหลักคือ
1. เรื่องของคน จากที่เคยทำงานผ่านดิสทริบิวเตอร์ดีลกับคนแค่หลัก 10 คน หลัก 100 คน แต่ที่นี่ต้องสื่อสารกับสมาชิกตัวแทนจำหน่าย 330,000 ราย และสมาชิกผู้ใช้สินค้า 720,000 ราย หรือประมาณ 1,050,000 คน
“การทำงานของผมไม่เหมือนกับที่เคยทำมาแน่นอน ที่นี่เราต้องใช้ศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่ง ความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง ที่มีความหลากหลายมาก ๆ และต้องใช้ใจการทำงานมากขึ้น เพราะเรากำลังทำงานกับมวลชน”
2. ที่เดิมออกสินค้าแฟลกชิปปีละ 1-2 ตัว แต่ที่แอมเวย์ออกสินค้าใหม่ปีนี้ 15 ตัว จากสินค้า 250 รายการ หลายหมวดผลิตภัณฑ์ วิธีการทำตลาดเพื่อให้สินค้าพวกนี้ไปสู่คนจำนวนมากวิธีการก็ต่างกัน
3. จากที่เคยพูดเรื่องไฮเทคโนโลยีเป็นหลัก มาที่นี่ต้องเพิ่มเติมเรื่องสินค้าออแกนิก การดูแลสุขภาพ เรื่องของ Preventive Health ด้วย
ทั้ง 3 เรื่องเป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้และเติมให้เต็ม

แต่โจทย์ใหญ่ที่ท้าทายก็คือ The Next Chapter ของแอมเวย์จะเข้าสู่ The Next Generation ได้อย่างไร
ปีหน้าแอมเวย์บริษัทแม่จะมีอายุครบ 65 ปี แอมเวย์ ประเทศไทย ปีนี้อายุ 37 ปี ส่วนนิวทริไลท์ผลิตภัณฑ์หลักที่เกิดขึ้นก่อนแอมเวย์ ปีหน้าจะครบรอบ 90 ปี
วันนี้แอมเวย์เป็นแบรนด์ที่ขึ้นมาเป็นขายตรงเบอร์หนึ่ง ประสบความสำเร็จมาตลอด ทั้งในแง่โอกาสทางธุรกิจและผลิตภัณฑ์
แต่ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้แอมเวย์ก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น
ทศพรบอกว่า
เรารู้ว่าอนาคตของธุรกิจขายตรงแอมเวย์ คือคนรุ่นใหม่ คนเจน MZ Millennial (พ.ศ. 2524-2539) อายุ 27-42 ปี Gen Z (พ.ศ. 2540-2555) อายุ 11-26 ปี
ซึ่งปัจจุบันทั้งนักธุรกิจและสมาชิกเรามีคนกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 45% และเชื่อว่าคนกลุ่มนี้จะต้องเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การดีไซน์กลยุทธ์ขององค์กรจะต้องรองรับกับคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงได้อย่างไร ซึ่งแอมเวย์ได้วางไว้ 3 กลยุทธ์ เพื่อเจาะกลุ่ม Next เจเนอเรชัน เริ่มจากเรื่องของผลิตภัณฑ์ โอกาสทางธุรกิจ และเทคโนโลยี
1. ตัวผลิตภัณฑ์ เป็นจุดแข็งที่โดนใจคนรุ่นใหม่อยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพซึ่งเป็นเทรนด์ของคนรุ่นนี้ที่หันมาดูแลตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยมากขึ้น
เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญในเรื่อง Sustainability มาโดยตลอด ในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลชุมชน และยัง มีฟาร์มออแกนิก 4 แห่งใน 3 ประเทศ พื้นที่รวมกว่า 15,000 ไร่ ที่เป็นแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบคุณภาพของผลิตภัณฑ์แอมเวย์
การเป็นแบรนด์ดี รักษ์โลก คือความภูมิใจของคนที่จะเข้ามาร่วมงานด้วยแน่นอน
ดังนั้น เมื่อมีของดีอยู่ในมือแล้วเราจะทำให้ทันสมัยเพื่อดึงคนรุ่นใหม่ให้เข้ามารู้จักได้อย่างไร
สินค้าที่คนรุ่นใหม่ต้องการมีประสิทธิภาพแบบเดิมแต่หน้าตาอาจจะไม่เหมือนเดิม
เมื่อก่อนต้องการรับประทานอาหารเสริมเป็นเม็ด ๆ คือต้องตั้งใจรับประทาน แต่ตอนนี้ทุกคนอาจจะต้องการรับประทานแบบเร็วขึ้น ง่ายขึ้น รู้สึกอยากรับประทานมากขึ้น สินค้าก็จะออกมาเป็นแบบขนมขบเคี้ยวเป็นคุกกี้ เยลลี่ เครื่องดื่มชาชง จากเดิมที่มีเฉพาะนิวทริไลท์
“เซกเมนต์ใหม่ เช่น N* by Nutrilite เป็นหนึ่งใน Initiative ที่ดีไซน์ให้เหมาะกับวัยรุ่น ราคาหลักร้อย สีนี่ต้องสวยน่ารับประทาน โพสต์ ไอจีแล้วคนร้องว้าว อยากคลิกไลก์ เพื่อสร้างอิมแพ็กบนออนไลน์”
2. โอกาสทางธุรกิจ ตอบโจทย์เทรนด์ Entrepreneurships ของคนรุ่นใหม่ที่อยากทำธุรกิจเอง ไม่ต้องมีสต๊อก ไม่ต้องแพ็กของ ไม่ต้องเปิดหน้าร้านเอง มีอิสรภาพด้านเวลา
3. เรื่องของเทคโนโลยี มีการปรับปรุงการซื้อสินค้าบนช่องทางออนไลน์ต้องไม่สะดุด ไร้รอยต่อ แพลตฟอร์มต้องใช้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว
เมื่อ 3 ปีก่อนยอดขายแอมเวย์มาจากออนไลน์ประมาณ 25% ปัจจุบันมียอดขายออนไลน์ 53% (ข้อมูลเดือน ก.ค.)
“ดังนั้น เมื่อเราเอาสินค้าบวกกับโอกาสทางธุรกิจและเทคโนโลยีมารวมกันเลยกลายเป็นกลยุทธ์ใหม่ว่า เราจะเติบโตหลังจากนี้”
ทศพร นิษฐานนท์ บอกว่า วันนี้การชักชวนคนมาทำธุรกิจแอมเวย์ก็เปลี่ยนไป โควิด-19 เป็นสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นทำให้เกิดกลยุทธ์ใหม่ โดยคราวนี้ไม่ได้โฟกัสในเรื่องรายได้ดี ได้ท่องเที่ยวทั่วโลกเหมือนเดิม แต่เริ่มพูดคุยกันในเรื่องการดูแลสุขภาพเพื่อดึงลูกค้าให้สนใจเข้ามาคุย แล้วค่อยขายของทีหลัง ขายเสร็จต้องการเป็นนักธุรกิจต่อหรือเปล่า เป็นเรื่องที่จะตามมา ซึ่งด้วยวิธีการนี้ได้ใจคนรุ่นใหม่มาก
ส่วนยอดขายที่เคยมาทาง Amway Shop ที่มีอยู่ประมาณ 82 สาขา 100% ตอนนี้ลดลงเหลือ 50% ส่วนอีก 50% มาจากออนไลน์
ดังนั้น Amway Shop ก็ต้องเปลี่ยนบทบาทใหม่ เป็น Community ที่ให้คนมานั่งพูดคุยกัน ไม่ได้เน้นมาช้อปปิ้งซื้อสินค้าแบบเดิม และตอนนี้มี Amway Cafe ในช็อปแล้วประมาณ 15 แห่ง
ขณะเดียวกันวิธีการทํางานก็ต้องเปลี่ยนเมื่อก่อนจะประชุมกันที่ Center เหมือน Community วันนี้นักธุรกิจจะใช้การประชุมผ่าน Zoom ไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมาก ประชุมที่ไหนก็ได้ จำนวนคนเท่าไรก็ได้
เพื่อสร้างเครื่องมือการตลาดทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ แอมเวย์ได้ลงทุน 1,000 ล้านบาทในแผนระยะยาว พัฒนาการทำธุรกิจ พัฒนา Website, Application ‘Amway Click’, LINE และ Big Data เพื่อช่วยให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น สะดวกขึ้น รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Live Streaming
รวมทั้งอัปสกิลนักธุรกิจผ่านโครงการ Amway Creator เป็นการฝึกให้นักธุรกิจแอมเวย์มีความทันสมัย เป็นแอมเวย์ ครีเอเตอร์ ครีเอตคอนเทนต์ได้ สามารถสร้าง Personal Branding ผ่านโซเชียลแพลตฟอร์มส่วนตัว และโพสต์สินค้าที่ถูกต้อง ถูกกฎ ไม่ผิดจรรยาบรรณ ไม่โอเวอร์เคลม ตลอด 2 ปีมีนักธุรกิจเข้าโครงการนี้เพื่อฝึกอบรมครั้งละประมาณ 30,000 กว่าคน ครั้งละ 3 เดือน มีการสอนทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ทศพรยังย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่แอมเวย์ให้ความสำคัญสูงสุดในการทำธุรกิจคือเรื่อง ESG Environment, Social, และ Governance ที่เราพยายามสอดแทรกลงไปในกระบวนการทำธุรกิจ
“ถ้าเราพูดเรื่องนี้ดังขึ้นเรื่อย ๆ สื่อรับได้ น้อง ๆ รับได้ เขาจะรู้ว่า บริษัทนี้เกิดก่อนกาล คือทำเรื่อง Sustainability ทำในเรื่อง ESG มาก่อนที่จะมาเป็นเพนพอยต์ของคนทั่วโลกในวันนี้”
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทศพรมั่นใจว่าจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนคอมมูนิตี้ที่นักธุรกิจแอมเวย์ได้สร้างขึ้น และสามารถทำให้เป้ายอดขายทะลุ 30,000 ล้านบาทในปี 2572 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทแม่มีอายุครบรอบ 70 ปี
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
