“โรงพยาบาลเอกชน” มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งแรงหนุนจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมไทย และเทรนด์ความใส่ใจต่อการดูแลสุขภาพที่กลายเป็นเมกะเทรนด์ รวมถึงปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการฟื้นตัวที่เด่นชัดขึ้นของ Medical Tourism ที่ล้วนเป็นผลบวกต่อธุรกิจทั้งสิ้น
เมื่อผู้คนมาใช้บริการมากขึ้น การบริการต่าง ๆ จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงถึงศักยภาพการดูแลผู้ป่วย และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ ดังนั้น โรงพยาบาลหลายแห่งจึงมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับกับทิศทางดังกล่าว
หนึ่งในองค์กรที่มีความโดดเด่นแตกต่างอย่างมากคือ “เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล” ที่มุ่งเน้นในเรื่องการ “สร้างคน” โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรมาเป็นคีย์หลักและรากฐานในการ “สร้างแบรนด์” ให้สามารถปรับตัวสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาองค์กรให้ไปสู่ความยั่งยืน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งจะแตกต่างจากโรงพยาบาลส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรแบบเดิม ๆ จนเรียกได้ว่า “เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโลเป็น Game Changer ตัวจริงในแง่การพัฒนาบุคลากร” และเป็นต้นแบบให้หลากหลายองค์กรนำไปปรับใช้
ซึ่งที่ผ่านมา “เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล” ได้นำเสนอโครงการในหลากหลายมิติที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการยกระดับและพัฒนาบุคลากรให้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร รวมไปถึงล่าสุดได้รันแคมเปญ “FIGHT FOR BETTER : คำว่าดีที่สุดคงไม่มี มีแต่ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น” การยกระดับกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการพัฒนา “คน” อย่างไม่สิ้นสุด ภายใต้ความเชื่อที่ว่า “นวัตกรรมที่ยั่งยืนและดีที่สุด คือ คนที่ไม่เคยหยุดพัฒนา”
แนวคิดการดำเนินการมีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ Marketeer ขอ Recap มาให้รับชมพร้อมกัน
องค์กรที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล
การสื่อสารของโรงพยาบาลส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรผ่านประสบการณ์การรักษา ทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่างโรงพยาบาลกับผู้ที่มาใช้บริการของโรงพยาบาลเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่สิ่งที่ “เครือ รพ. พญาไท–เปาโล” ให้ความสำคัญนอกเหนือจากเรื่องที่กล่าวมาแล้ว คือการสื่อสารให้เห็นภาพการพัฒนาองค์กรที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล เป็นที่ที่ให้บริการดูแลชีวิตผู้คนที่เริ่มต้นจาก “มนุษย์ที่เข้าใจมนุษย์” จึงทำให้บุคลากรในองค์กรมองเห็นปัญหา เข้าใจปัญหา จึงลงมือคิดและสร้างนวัตกรรม เพื่อช่วยดูแลชีวิตคนไข้ให้ดียิ่งขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หากมองให้ลึกจะเห็นว่าความต้องการของ “ผู้มาใช้บริการ” จะเป็นเสมือนเป้าหมายสูงสุดที่โรงพยาบาลต้องการตอบโจทย์ จากอินไซต์ผู้บริโภคที่ต้องการโรงพยาบาลที่ใส่ใจ มองคนไข้เหมือนเป็นคนในครอบครัว พร้อมดูแลและรักษาอย่างมีประสิทธิภาพด้วยบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญและเป็นกันเอง อีกทั้งยังมุ่งเน้นเรื่องการป้องกันมากกว่ารักษา ให้รู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป พร้อมทั้งไม่หยุดพัฒนาเพื่อยกระดับบริการให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อคอยดูแลสุขภาพไปตลอดชีวิต
ในขณะที่ “บุคลากรในปัจจุบัน” จะเป็นแกนหลักของแคมเปญ โดยมุ่งเน้นให้ทุกคนได้เห็นถึงประโยชน์และความสวยงามของความทุ่มเท เห็นถึงความสำคัญของการร่วมกันสร้าง “นวัตกรรมดูแลชีวิตมนุษย์”
ซึ่งก่อนจะมาเป็นนวัตกรรมนี้ทีมงานต้องเข้าใจ เข้าถึงความรู้สึกของคนไข้ รวมถึงเพื่อนร่วมงาน และพยายามหาวิธีแก้ปัญหา ผ่านการเรียนรู้เพิ่มเติมและพัฒนาตนเอง พร้อมร่วมแรงร่วมใจกับทุกคนในองค์กร ภายใต้เป้าหมายเดียวกัน คือ สร้างความเปลี่ยนแปลงและประโยชน์ให้เกิดแก่คนไข้ เพื่อนร่วมงาน และสังคม ซึ่งนี่ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของพนักงาน แต่เป็น “หน้าที่ของความเป็นมนุษย์” เพราะทุกคนมีส่วนสำคัญในการยกระดับสู่ “องค์กรนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ” ที่พร้อมจะดูแลทุกชีวิตร่วมกัน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเพื่อนมนุษย์ต่อไป
และส่งต่อ Message ไปยัง “บุคลากรในอนาคต” ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรที่พร้อมจะสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนร่วมกัน
FIGHT FOR BETTER คำว่าดีที่สุดคงไม่มี มีแต่ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น
ภายใต้ความเชื่อของเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโลที่ว่า “นวัตกรรมที่ยั่งยืนและดีที่สุด คือ คนที่ไม่เคยหยุดพัฒนา” เพราะบุคลากรทุกคน คือส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กร ดังนั้น แกนหลักของการสร้างแบรนด์ที่นำเสนอออกมาคือ “สร้างคน = สร้างนวัตกรรม”
อย่างไรก็ดี โจทย์สำคัญคือจะหยิบจุดแข็งมุมไหนที่สะท้อนภาพที่แตกต่างและเด่นชัดที่สุดของแต่ละภาคส่วนมานำเสนอ ที่สำคัญสิ่งที่หยิบมาพูดนั้นต้องสื่อสารกับคนทั้ง 3 กลุ่มในเวลาเดียวกัน
จนตกผลึกสู่แคมเปญ “FIGHT FOR BETTER : คำว่าดีที่สุดคงไม่มี มีแต่ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น” ที่ส่งต่อภาพลักษณ์ของการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมที่ยั่งยืนและดีที่สุด คือ “การสร้างคน” ด้วยการเสริมสร้างองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพ ส่งเสริม สนับสนุน เพื่อให้ “นวัตกรรมมีชีวิต“ เหล่านี้มาร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยดูแลชีวิตผู้คนต่อไปให้ยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โดยเล็งเห็นว่า บุคลากรทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ใดล้วนมีความเป็นนักสร้างสรรค์นวัตกรรมอยู่ในตัวทุกคน โดยมีจุดเริ่มต้นคือการยกระดับและพัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคล ผ่านโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ช่วยปลูกฝังในเรื่องการทำงานเป็นทีม การลองทำสิ่งใหม่ ๆ คิดและสร้างนวัตกรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์ การปรับตัว การคิดเชิงบวก ปลดล็อกศักยภาพด้วย Growth Mindset ที่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่าจะสามารถนำพาไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่าได้เสมอ
นอกจากนี้ ยังเดินหน้าสร้าง INNOVATION ECOSYSTEM เพื่อส่งต่อและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน เพื่อทลายกรอบความคิดเดิม ๆ และก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งโครงการนี้จะมีการแยกย่อยไปในจุดต่าง ๆ เพื่อพัฒนาบุคลากรแต่ละภาคส่วนตามความเหมาะสมอย่างชัดเจน รวมไปถึงการจัดเวลาประกวดภายใน เพื่อเปิดโอกาสให้โชว์ผลงาน ไอเดีย ซึ่งที่ผ่านมามีหลากหลายนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมากมาย และถูกนำไปใช้เพื่อช่วยดูแลผู้คนที่เข้ามารับบริการกับโรงพยาบาลได้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพร้อมซัปพอร์ตด้วยแหล่งความรู้ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ผ่าน “CILA” (Center of Interactive Learning Academy) แพลตฟอร์มการเรียนรู้ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ที่พนักงานสามารถเลือกสถานที่เรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา สะดวกสบายกับการเรียนด้วยคำสั่งเพียงปลายนิ้ว
แคมเปญ “FIGHT FOR BETTER : คำว่าดีที่สุดคงไม่มี มีแต่ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น” จึงเป็นเหมือนการสื่อสารเพื่อตอกย้ำและปลุกไฟการเรียนรู้ให้กับคนในองค์กรอย่างจริงจังอีกครั้ง เพื่อยกระดับศักยภาพ ซึ่งจะแสดงออกผ่านทัศนคติและคุณภาพการทำงาน ที่จะส่งต่อไปถึงคนภายนอกองค์กร อย่างผู้มาใช้บริการได้รับรู้ได้ดีที่สุดนั่นเอง
ในส่วนของการดำเนินแคมเปญจะมีการสื่อสารถึงบุคลากรทุกกลุ่ม ทุกแผนก ผ่านทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ มีการปล่อยหนังโฆษณา “Dear Me” ซึ่งมีแนวคิดมาจาก สิ่งที่จะปลุกไฟในการทำงานได้ดีที่สุด ก็คือตัวเราเอง เป็นวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวจากบุคลากรที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง เพื่อให้คนไข้ได้รับบริการที่ดีที่สุด
โดยในเรื่องจะแสดงให้เห็นแง่มุมต่าง ๆ และความรู้สึกที่หลากหลายกันไป เพื่อให้วิดีโอนี้กระตุ้นให้ทุกคนกลับมามีพลังใจอีกครั้ง และอยากเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม เก่งขึ้นกว่าเดิม และพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เหมือนทุกคนในเครือโรงพยาบาล พญาไท และเปาโล ที่เชื่อแบบเดียวกันว่า “จะเป็นคนที่ดีขึ้น …ดีขึ้น…ในทุก ๆ วัน”
สร้างการรับรู้และความภาคภูมิใจให้คนในองค์กร
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มลูกค้า
การดำเนินการดังที่กล่าวไปนั้น มีส่วนสำคัญในการสร้างการรับรู้ กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจที่จะพัฒนาตัวเอง และสร้างความภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอีกทางหนึ่ง พร้อมส่งต่อ Message ไปยังผู้ใช้บริการและบุคคลอื่น ๆ เพื่อสื่อสารถึง Growth Mindset ขององค์กร ให้เห็นภาพว่า “เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล เป็นองค์กรที่มากกว่าโรงพยาบาล” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้กับบุคคลภายนอกได้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง ทั้งในกลุ่มผู้มาใช้บริการ ตลอดจนดึงดูดคนที่มีความสามารถให้มาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
สรุป
แคมเปญ “FIGHT FOR BETTER : คำว่าดีที่สุดคงไม่มี มีแต่ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น” คือความมุ่งมั่นของ “เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล” ที่จะสร้างการรับรู้ผ่านบุคลากรในองค์กร โดยเริ่มจากให้บุคลากรปัจจุบันรู้สึกภาคภูมิใจในองค์กร เห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองทำ และอยากพัฒนาตัวเอง ซึ่งองค์กรเห็นถึงความสำคัญของทุกคนและพร้อมเป็น “ลมใต้ปีก” ผลักดันให้บุคลากรทุกคน ทุกแผนก ยกระดับความรู้และศักยภาพของตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ วันแบบไม่มีที่สิ้นสุด
และสร้างอิมแพ็คไปยังคนภายนอก ทั้งสร้างความเชื่อมั่นใน “กลุ่มผู้มาใช้บริการ” ให้รู้สึกมั่นใจ วางใจ กับประสิทธิภาพ และบริการ เห็นความใส่ใจ ทุ่มเท ของบุคลากรที่พยายามจะพัฒนาคุณภาพ และบริการให้ดียิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกันเพื่อดึงดูด “บุคลากรในอนาคต” ให้คนเก่ง ๆ ที่มีวิธีคิดแบบเดียวกันมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เพื่อให้รู้สึกว่านี่คือองค์กรที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล ให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ โดยช่วยส่งเสริมการพัฒนาตนเอง สนับสนุนในทุก ๆ ด้านองค์ความรู้ ทักษะต่าง ๆ ให้พัฒนายิ่งขึ้นต่อ ๆ ไป และร่วมสร้าง “นวัตกรรมเพื่อดูแลชีวิตมนุษย์” และขับเคลื่อนองค์กรร่วมกัน
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ