จากสถิติของกรมการขนส่งของไทยรายงานตัวเลขการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือ BEV ในปี 2022 มีจำนวน 9,674 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2021 มากกว่า 3 เท่า แสดงให้เห็นว่ากระแสความนิยมรถ EV เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการทำตลาดของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากทางฝั่งประเทศจีนและยุโรป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐของไทยโดยมี BOI เป็นแม่งานหลักหวังผลักดันให้ไทยเป็นหนึ่งในฮับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายในประเทศและการส่งออก

และเมื่อพูดถึงค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่มาทำตลาดในไทยหลายคนคงจะคุ้นชื่อของแบรนด์ต่อไปนี้ MG , ORA , GMW และ BYD จะเชื่อหรือไม่ว่าทั้งหมดคือแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนทั้งหมด โดยในบทความนี้อยากจะชวนผู้อ่านไปทำความรู้จักกับหนึ่งในค่ายยานยนต์ชื่อดังที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเทคโนโลยีแบตเตอรี่และมีความเฉพาะตัวทั้งในด้านการดีไซน์ที่มีความทันสมัยไม่แพ้รถยุโรป และที่สำคัญราคาจับต้องได้  รถสวย สมรรถนะเป็นเลิศ ราคาคุยกันได้  ใช่แล้วครับ เรากำลังพูดถึง BYD ติดตามอ่านเรื่องราวของ BYD ได้จากบทความนี้

ที่มาของแบรนด์ BYD

BYD มาจากคำว่า Build Your Dreams BYD ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดย Wang Chuanfu ซึ่งเป็นนักเคมีและนักธุรกิจ ในตอนนั้นคุณ Wang ผู้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะให้ BYD เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ เพราะมองเห็นอนาคตในด้านพลังงานมากกว่า

ในช่วงแรกบริษัท BYD ผลิตเฉพาะแบตเตอรี่เท่านั้น เพื่อแข่งขันกับผู้ผลิตแบตเตอรี่ของญี่ปุ่นที่จำหน่ายแบตเตอรี่เช่นกัน แต่ราคาสูงกว่ามาก ดังนั้น เมื่อต้องการที่จะทำให้แบตเตอรี่ดีขึ้นและถูกลง Wang Chuanfu จึงเริ่มจากศึกษาเรื่องการจดสิทธิบัตรและศาสตร์การทำแบตเตอรี่ด้วยตนเอง เพื่อดูว่าแบตเตอรี่ทำงานอย่างไร และเขาจะทำให้แบตเตอรี่ดีขึ้นและราคาไม่แพงได้อย่างไร

แนวทางปฏิบัติที่ BYD ใช้กับการวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นก่อให้เกิดผลดีอย่างมากต่อความก้าวหน้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของ BYD และหลังจากเริ่มประสบความสำเร็จกับการทำตลาดแบตเตอรี่ BYD จึงค่อย ๆ ขยายไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และพลังงานหมุนเวียน

BYD เข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2003 และก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดจีนอย่างรวดเร็ว และในปี 2008 BYD ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกคือ BYD F3 นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถบัส รถบรรทุก และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

BYD F3 DM รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของ BYD

ในปี 2022 BYD กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก แซงหน้า Tesla ในแง่ของยอดขายโดย BYD จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าไปได้ 1.86 ล้านคัน ในขณะที่ Tesla ขายรถยนต์ไฟฟ้าไปได้ 1.31 ล้านคัน ซึ่งหมายความว่า BYD ขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่า Tesla ในปี 2022 ถึง 500,000 คัน และในปัจจุบัน BYD ได้เข้าไปทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และนอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ BYD ได้เปรียบ Tesla คือเรื่อง Product Line หรือความหลากหลายของสายผลิตภัณฑ์ โดย BYD นั้นทำทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า และรถตู้ไฟฟ้า แค่ปัจจัยนี้ก็ทำให้ BYD ทำยอดขายแซง Tesla แล้ว

แต่จุดเด่นของ BYD ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะพวกเขามักทำรถออกมาในราคาที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่ารถยนต์ที่ซื้อนั้นเกินคุ้มค่า ด้วยดีไซน์ เทคโนโลยี เพราะ BYD นั้นมุ่งมั่นทำ R&D อย่างต่อเนื่องและเป็นบริษัทที่เน้นใส่เทคโนโลยีเข้าไปในสินค้าที่จำหน่ายนี่ก็เพียงพอที่จะทำให้รถของ BYD ขายดี

นอกจากนี้ จุดแข็งในการทำธุรกิจอีกอย่างหนึ่งของ BYD คือเรื่องการกระจายความหลากหลายในเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ที่ BYD เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ให้กับทั้ง Apple และ Samsung และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่น รถไฟฟ้าแบบ SkyRail และ SkyShuttle และรถ Commercial Bus ความสนใจในด้านพลังงานใหม่และระบบขนส่งทางรถไฟ ทำให้ BYD Auto ก้าวเข้าสู่ตลาดได้สำเร็จในเวทียานยนต์ของโลก

ในช่วงปี 2008 ต้องถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับ BYD เลยก็ว่าได้ เมื่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จาก Shengzhen อย่าง BYD ได้รับแสงสปอตไลท์เต็ม ๆ เมื่อนักลงทุน 1 ในมหาเศรษฐีระดับทอป 10 ของโลกชาวอเมริกันนามว่า Warren Buffet เข้าซื้อบริษัทด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 10% โดย Buffet พูดถึง BYD ว่า “วันหนึ่ง BYD จะกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดรถยนต์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า”

ในปี 2016 BYD ได้แต่งตั้งอดีตดีไซเนอร์ของ Alfa Romeo และ SEAT อย่าง Wolfgang Egge ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ BYD นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดีไซน์รถของ BYD มีความสวย ทันสมัย และโดดเด่นเป็นพิเศษ

ด้วยสไตล์ที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ผลิตภัณฑ์ของ BYD มีความเป็นตัวเองและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยตั้งชื่อรุ่นรถยนต์ตามราชวงศ์จีน ได้แก่ ราชวงศ์ฉิน ถัง หยวน ซ่ง(Qin, Tang, Yuan, Song) และล่าสุดคือ Han ฮั่น ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นเรือธงซีดานหรูขนาดกลางถึงใหญ่ที่เปิดตัวในปี 2020

BYD Han ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Tesla Model S เพราะมีระบบส่งกำลัง EV หรือ PHEV โดยเป็นรถยนต์ที่ใช้เวลาพัฒนาถึง 10 ปี และเป็นรถยนต์รุ่นสุดท้ายในเจเนอเรชันที่สองของ BYD Auto และเป็นรุ่นแรกที่ใช้ Blade Battery (แบตเตอรี่ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์) อันเป็นกรรมสิทธิ์ของ BYD Auto

มีข้อมูลที่น่าสนใจข้อหนึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ BYD Auto คือ บริษัทได้หยุดการผลิตรถยนต์ในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นเดียวกับผู้ผลิตรายอื่น ๆ หลายราย และในฐานะที่ BYD เป็นบริษัทที่มีความคล่องตัวสูง (Agile Company)  BYD Auto ได้ติดตามรอยล้อของแบรนด์อื่น ๆ และเริ่มการผลิตหน้ากากอนามัย แต่ตามแบบฉบับของ BYD ก็คือการปรับปรุงการผลิตหน้ากาก ไม่เพียงแต่การผลิตหน้ากากเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจักรเย็บผ้าที่ผลิตหน้ากากด้วย จะเห็นว่า BYD เป็นบริษัทที่ปรับตัวได้เก่งมากแม้ในยามคับขัน

การแสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวและความสามารถในการผลิตทำให้ BYD Auto ฝ่าฟันพายุที่โหมกระหน่ำและสร้างปัญหาให้กับผู้ผลิตรถยนต์หลายรายแต่ไม่ใช่กับ BYD ทั้งนี้เพราะบริษัทสามารถผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เองได้ รวมถึงการสร้างไมโครชิปได้ด้วย แปลว่าบริษัทแทบจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาซัปพลายเออร์อื่น ๆ เลยเพราะพวกเขาพึ่งพาตัวเองได้

BYD Auto ได้แยกความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนออกไปตั้งบริษัทลูก ในชื่อ Fudi ซึ่งช่วยให้คู่แข่งโดยตรง (บริษัทผลิตรถยนต์อื่น ๆ) สามารถซื้อส่วนประกอบของ BYD โดยไม่มีการสร้างแบรนด์ที่ขัดแย้งกัน

และในเดือนเมษายน 2022 ที่ผ่านมา BYD Auto ประกาศว่าจะไม่ผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในรูปแบบใด ๆ อีกต่อไป ซึ่งนับว่า BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่มุ่งมั่นสู่อนาคตที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มตัว

BYD กับไทม์ไลน์การเติบโตที่น่าทึ่ง

  • 1995 ปีแรกที่บริษัทก่อตั้งขึ้น ณ เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน เพื่อผลิตแบตเตอรี่ Ni-Cd โดยเฉพาะ
  • 1996 เริ่มผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
  • 1998 ก่อตั้งสาขาต่างประเทศแห่งแรกในยุโรป
  • 1999 ก่อตั้งสาขาในสหรัฐอเมริกา
  • 2000 เปิดอุตสาหกรรมพาร์คเป็นของตัวเองในกุ้ยชง เซินเจิ้น เป็นครั้งแรก
  • 2002 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ 1211 สร้างสถิติราคาเสนอขายสูงสุดในบรรดาหุ้น H ทั้ง 54 ตัวของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในขณะนั้น
  • 2003 เข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผสมผสานเทคโนโลยีแบตเตอรี่กับเทคโนโลยียานพาหนะเพื่อพัฒนาพาหนะไฟฟ้า และบรรลุความฝันสีเขียว
  • 2005 เปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกคือรุ่น F3 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนมียอดขายมากกว่า 1 ล้านคันในประเทศจีนเพียงประเทศเดียว
  • 2007 BYD Electronics (International) Company Ltd. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ 0285
  • 2008 MidAmerican Energy Holdings Company (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Berkshire Hathaway Energy) บริษัทการลงทุนในเครือ Berkshire Hathaway Inc. ของ Warren Buffett ได้เข้าซื้อหุ้น 10% ของ BYD ด้วยมูลค่าประมาณ 220 ล้านดอลลาร์
  • 2009 BYD เข้าสู่ตลาดรถบัสและรถโค้ชพลังงานใหม่ รวมถึงเข้าสู่วงการรถ Folklift พลังงานไฟฟ้า
  • 2010 BYD ร่วมมือกับ Daimler AG และก่อตั้งบริษัท Shenzhen BYD Daimler New Technology Company, Ltd.
  • 2011 BYD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ 002594
  • 2015 BYD เปิดตัวกลยุทธ์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ “7+4”
  • 2016 BYD เริ่มดำเนินธุรกิจในภาคส่วนระบบขนส่งทางราง
  • 2017 เปิดตัวเส้นทาง SkyRail เชิงพาณิชย์เส้นแรกของโลกและเริ่มดำเนินงานในวันที่ 1 กันยายน ที่เมืองอินชวน ประเทศจีน
  • 2018 BYD เปิดตัว IGBT 4.0 ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ารองจากแบตเตอรี่
  • 2019 BYD เปิดตัวเส้นทาง SkyShuttle เชิงพาณิชย์เส้นแรกของโลก (ผลิตภัณฑ์ระบบขนส่งทางรางขนาดเล็ก)
  • 2020 เมื่อการระบาดเกิดขึ้น BYD ได้ตัดสินใจผลิตหน้ากากอนามัยและกลายเป็นซัปพลายเออร์หน้ากากอนามัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในเวลาหนึ่งเดือน
  • 2021 BYD เปิดตัว e-Platform 3.0 รุ่นใหม่ พร้อมฉลองการเปิดตัว EA1 และรถยนต์ต้นแบบ X DREAM (สองรุ่นที่อวดโฉมสเปกการออกแบบใหม่ล่าสุด) และเปิดตัว TANG DM-i รุ่นเรือธงซูเปอร์ไฮบริดยานยนต์นั่งส่วนบุคคลพลังงานใหม่หนึ่งล้านคันของ BYD เริ่มสายการผลิต

BYD ประกาศว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนทั้งหมดของตนจะมาพร้อมกับ Blade Batteries

BYD เปิดตัว e-Platform 3.0 สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าล้วน

ปี 2021 เป็นปีที่ BYD ขายยานยนต์นั่งส่วนบุคคลพลังงานใหม่ได้ 593,745 คัน โดยเพิ่มขึ้น 231.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี

  • 2022 BYD ประกาศยุติการผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในทั้งหมดเพื่อมุ่งเน้นไปที่ตลาด BEV และ PHEV เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของโลก

BYD เข้ามาในไทยได้อย่างไร

 เราอาจเห็นตามหน้าสื่อต่าง ๆ ว่า BYD เพิ่งเข้ามาเมื่อช่วงปลายปี 2022 แต่ในความเป็นจริง BYD เคยเข้ามาไทยแล้วเมื่อปี 2018 ในตอนนั้น BYD นั้นเคยเข้ามาทำตลาดในไทย โดยครั้งแรกเป็นการร่วมมือกับ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนั้นเป็นการนำรถรุ่น E6 และรถบัส K9 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากกระแสยังไม่มากเท่าในตอนนี้

ครั้งต่อมาเป็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมทุนกับ บริษัท ชาริช โฮลดิ้ง จำกัด นำ E6 มาจำหน่ายเป็นรถแท็กซี่อยู่สักพัก แต่ก็เงียบ ๆ ไปอีกครั้ง

หลังจากเวลาผ่านไปหลายปีด้วยกระแสของรถ EV ที่มาแรงและนโยบายภาครัฐที่พร้อมดันให้รถ EV เกิดเต็มที่ ก็ทำให้ BYD กลับดินแดนสยามอีกครั้งในปี 2022 โดยการร่วมทุนกันระหว่างตัวแทนฝั่งจีนโดยบริษัท JCD Motor ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท BYD Auto Industry และตัวแทนฝั่งไทยโดยทายาทรุ่นที่ 3 ของ สยามกลการ โฮลดิ้ง คุณพก ประธานวงศ์ พรประภา และ คุณประธานพร พรประภา ร่วมกันจัดตั้ง บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (Rêver Automotive) รวมทั้งให้สิทธิ์ในการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายสำหรับกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย (Thailand Authorized Distributor) อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัวรถยนต์ 3 รุ่น

BYD ทำตลาดยังไงให้แบรนด์ได้รับความนิยม

การกลับมาของ BYD ในรอบนี้พวกเขาค่อนข้างมั่นใจกว่าแต่ก่อนมาก เพราะได้พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจอย่างกลุ่มสยามกลการ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ของไทย แต่ที่สำคัญ คือ การได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและการเข้ามาของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนก่อนหน้าอย่าง GMW และ MG ที่ก็เหมือนมาถางทางให้ส่วนหนึ่งไปก่อนหน้านี้แล้ว

BYD มั่นใจว่าจะสามารถเติบโตในตลาดรถไฟฟ้าในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ BYD รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐและผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของ BYD ในประเทศไทย

BYD ATTO3 : BYD

 และปัจจัยดังต่อไปนี้ส่งให้ BYD กำลังค่อย ๆ เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านคุณภาพและการให้บริการมากขึ้นเรื่อย ๆ

  • เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย BYD เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดย BYD พัฒนาแบตเตอรี่แบบ Blade Battery ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทาน และปลอดภัย
  • ราคาที่จับต้องได้ BYD นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาที่จับต้องได้ โดย Atto 3 มีราคาเริ่มต้นที่ 1,099,900 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์อื่น ๆ
  • การสนับสนุนจากภาครัฐ ภาครัฐไทยมีนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยมีการมอบเงินอุดหนุนให้กับรถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 70,000-150,000 บาทต่อคัน ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค
  • กระแสความนิยมในรถไฟฟ้า ผู้บริโภคไทยหันมาให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นประหยัดกว่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่นับวันจะยิ่งแพงมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังตระหนักถึงปัญหามลภาวะและภาวะโลกร้อน
  • จำนวนศูนย์บริการที่ครอบคลุม จากข้อมูลที่เราได้มาล่าสุดพบว่า BYD มีศูนย์บริการอยู่ทั่วทุกภาคในประเทศไทยจำนวน 32 แห่ง

จุดที่ทำให้ BYD เหนือกว่าและแตกต่างจากคู่แข่งค่ายรถยนต์ EV สัญชาติจีนยี่ห้ออื่น ๆ ในไทย

จากการที่ได้มีโอกาสเห็นตัวจริงของรถยนต์ไฟฟ้าหลาย ๆ รุ่นหลาย ๆยี่ห้อ (สัญชาติจีน) ในไทยพบว่า ดีไซน์การออกแบบรถของ BYD นั้นโดดเด่นสะดุดตา โดยเฉพาะรุ่น ATTO3 ที่มีท้ายละม้ายคล้ายท้ายรถ Porche Cayenne แต่ราคา BYD ATTO3 รุ่น Standard Range เริ่มต้นเพียง 1,099,900 บาท ซึ่งนับว่า “จับต้องได้” นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทำให้ BYD มีโอกาสก้าวขึ้นมาแย่งส่วนแบ่งตลาดรถ EV ได้ในไม่ช้า อาทิ

  • เทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบใหม่ล่าสุดของ BYD ที่มีคุณสมบัติเด่น คือ ปลอดภัย และทนทานกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป โดยแบตเตอรี่ Blade Battery ของ BYD ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานสากล และไม่เคยมีรายงานว่าแบตเตอรี่เกิดการลุกไหม้หรือระเบิด
  • ราคาที่สมเหตุสมผล โดยรถของ BYD มีราคาที่ถือว่า ถ้าใครกำลังอยากจะเปลี่ยนรถก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะราคาดีเทคโนโลยีเยี่ยมเมื่อเทียบกับแบรนด์รถไฟฟ้าอื่น ๆ ในไทย ทำให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขึ้น
  • เครือข่ายศูนย์บริการที่ครอบคลุม โดย BYD มีศูนย์บริการทั่วประเทศไทยมากกว่า 30 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทุกภาคในประเทศ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก

ก้าวต่อไปของ BYD กับประเทศไทย

BYD มีแผนที่จะขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าที่จะนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยให้ได้มากกว่า 100,000 คันภายในปี 2025 นอกจากนี้  BYD ยังมีแผนที่จะลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่ม เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด

*หมายเหตุ ข้อมูลล่าสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2023 BYD สามารถทำยอดขายขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ที่ 1,857 คันตามหลัง NETA V ที่อยู่ที่ 2,025 คัน

อ้างอิง

https://www.byd.com/eu/blog/Hello-we-are-BYD.html

https://www.bydauto.co.nz/news/byd-history

https://www.byd.com/en-th

https://marketeeronline.co/archives/274621

https://www.gwm.co.th/

https://krungsrimarket.cjdataservice.com/


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer