ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ขอลุยทำตลาดต่างแดน ตั้งเป้าสัดส่วนทำตลาดในไทย-ต่างแดน 50-40% พร้อมเปิดเเผนลงทุนโรงงานใหม่ ทุ่ม 2,000 ลบ. ทั้งเครื่องจักร+ขยายพื้นที่โรงงาน

บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่และอาหารกึ่งสำเร็จรูป เจ้าของแบรนด์ “มาม่า” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสัญชาติไทย ที่ไม่เพียงผลิตสำหรับบริโภคภายในประเทศเท่านั้น เเต่ส่งออกจำหน่ายในกว่า 68 ประเทศทั่วโลก

พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA เผยว่า ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายใต้เเบรนด์ “มาม่า” ในปีนี้คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 15,569 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 11,306 ล้านบาท และต่างประเทศ 4,262 ล้านบาท

ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มคัพเเละซอง 80% พรีเมียม 20% อัตราการเติบโตอยู่ที่ราว 4-6% นับว่าค่อนข้างช้า ไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับหลายสิบปีก่อนที่โตในระดับ 20-30% ขณะที่ตัวเลขการบริโภคบะหมี่กึ่งฯ ในไทยอยู่ในระดับ 52 ซองต่อคนต่อปี มีอัตราการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแต่ค่อยเป็นค่อยไป

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ Market size ใหญ่กว่าตลาดในประเทศมาก จึงมีโอกาสในการทำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยตลาดที่บริษัทมองว่าน่าสนใจ ได้แก่ จีน หลังจากที่บริษัทถอยออกมาจากตลาดจีนเมื่อ 20 ปีก่อน

แต่ในปัจจุบันจีนเป็นตลาดที่น่าสนใจ ด้วยจำนวนประชากรที่มากเป็นอันดับต้นของโลก อีกทั้งชื่นชอบ มีมุมมองเป็นบวกต่อสินค้าไทย บริษัทวางแผนเดินหน้ากลับเข้าทำตลาดในจีน ที่สอดรับกับยุค บนช่องทางการจำหน่ายใหม่  และการตลาดโซเชียลมีเดียที่น่าติดตาม อาจได้เห็นสินค้าที่ไม่ประสบความสำเร็จในขณะนั้นกลับมารีรันอีกครั้ง

เช่นเดียวกับตลาดเวียดนาม ที่บริษัทถอยออกมาพร้อมกัน เเต่ปัจจุบันเป็นที่น่าสนใจว่า สถิติการบริโภคบะหมี่กึ่งฯ ของชาวเวียดนาม อยู่ในอันดับต้นของโลก เทียบเท่าเกาหลีใต้ ในระดับเกินกว่า 70 ซองต่อคนต่อปี

อย่างไรก็ดี เวียดนามคือประเทศที่เเบรนด์ท้องถิ่นมีความเเข็งเเกร่งสูง อีกทั้งชาวเวียดนามส่วนใหญ่เลือกเเบรนด์ใประเทศมาก่อนเสมอ เป็นโจทย์ยากที่บริษัทต้องทำการบ้านต่อไป

ส่วนตลาดเดิมที่จะขยายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยุโรปและอเมริกา จากที่เมื่อก่อนบริษัทส่งสินค้าจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อของเอเชียน อาจต้องปรับสินค้าเพื่อยกระดับวางขายในห้างสรรพสินค้าเพิ่ม เป็นการหยิบเอาสินค้าเดิมกลับมาปัดฝุ่นใหม่

ขณะที่ตลาดใหม่ที่น่าจับตา คือ อินเดีย เเต่เป็นประเทศที่แบรนด์เจ้าถิ่นยึดครองบัลลังก์อย่างเหนียวเเน่น ซึ่งการบุกตลาดนี้ต้องเเข่งขันที่ราคาเป็นสำคัญ  และเเอฟริกา เริ่มที่เคนยา ซึ่งอยู่ในขั้นจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับผู้ผลิตในประเทศ แลกเปลี่ยนโนว์ฮาว เเละเรียนรู้ตลาดในเบื้องต้นก่อน

ด้านประเทศเมียนมา บริษัทเตรียมย้ายโรงงานไปยังโรงงานผลิตที่สเกลใหญ่ขึ้น ซึ่งใช้งบลงทุนไป 100 กว่าล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ขยายตัวอยู่ตลอดเวลาเเม้จะอยู่ในภาวะสงครามก็ตาม

ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการทำตลาดจากเดิมแบ่งเป็นในประเทศ 70% ต่างประเทศ 30% หวังปรับเป็นในประเทศ 50% ต่างประเทศ 40%

  • ด้านตลาดในประเทศ

คุณพันธ์ เปิดเผยว่า ยอดขายในปีนี้ตกลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว เนื่องจากเป็นช่วงว่างเว้นรัฐบาล กำลังซื้อหดตัว โดยที่ยอดขายสามารถแบ่งได้เป็น แบบซองจำนวน 1 ล้านหีบ/180 ล้านซอง/เดือน หรือ 2,000 ล้านซองต่อปี และเเบบคัพ 1 ล้านหีบ/36 ล้านคัพ/เดือน หรือรวม 500 ล้านคัพต่อปี

โมเดลร้าน Mama Station ธุรกิจร้านอาหารเพื่อสร้างการรับรู้

“ร้านอาหารเป็นธุรกิจที่ทำยาก รายละเอียดซับซ้อน บริษัทต้องคุมคุณภาพ รสชาติให้ถูกปากผู้บริโภคอยู่ตลอด เเต่เเม้จะเป็นเรื่องยาก การทำร้านอาหารช่วยขยายการรับรู้เเบรนด์ไปในกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า” คุณพันธ์ กล่าว

ซึ่งในลำดับต่อไป อาจได้เห็นการ collaboration กับร้านอาหารไทยในต่างเเดน เพิ่มประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในอนาคต ทั้งนี้ Mama Station เตรียมเปิดโลเคชันใหม่ ณ RCA ธันวาคมนี้

ปัจจุบันโรงงานผลิต “มาม่า” มีจำนวนทั้งหมด 8 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 5 แห่ง

โดย 3 แห่งเป็นโรงงานผลิตเส้นบะหมี่ ได้แก่

– อ. ศรีราชา จ. ชลบุรี 1 แห่ง กำลังการผลิต 262 ตันต่อวัน

– จ. ลำพูน 1 แห่ง กำลังการผลิต 136 ตันต่อวัน

– จ. ระยอง 1 แห่ง กำลังการผลิต 94.01 ตันต่อวัน

และโรงงานผลิตเส้นขาวจังหวัดราชบุรีจำนวน 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 60 ตันต่อวัน

โรงงานผลิตในต่างประเทศอีก 4 แห่ง ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา บังกลาเทศ และฮังการี กำลังการผลิตรวม 16,044 ตันต่อปี

นอกจากนี้ แบ่งประเภทกำลังการผลิต

– บะหมี่ประเภทซองอยู่ที่ 964,320 หีบต่อเดือน โดยความเร็วในไลน์ผลิตแบบซองสูงสุดอยู่ที่ 450 ซองต่อนาที

– บะหมี่ประเภทถ้วยอยู่ที่ 1,159,498 หีบต่อเดือน ความเร็วไลน์ผลิตสูงสุด 300 ถ้วยต่อนาที

– ผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าวอยู่ที่ 193,125 หีบต่อเดือน

ปัจจุบันขยายกำลังการผลิตเพิ่มในโรงงานหลายแห่ง พร้อมเปิดแผนลงทุนครั้งใหญ่ในรอบการลงทุนต่อไป บริษัทเตรียมทุ่มงบมากกว่า 2,000 ล้านบาท (งบเฉพาะในไทย)  ซื้อที่ดินขยายโรงงานเพิ่ม 50-60 ไร่ ลงเครื่องจักรใหม่ที่รองรับการใช้งานนานสิบปี จำนวน 8 เครื่อง ราคาเฉลี่ยเครื่องละ 200 ล้านบาท  ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้ 30%

มุ่งหน้าสู่คอนเซ็ปต์ใหม่ Smart Factory เตรียมพร้อมรับเทรนด์แรงงานขาดเเคลนในอนาคต ประกอบกับเพื่อลดต้นทุนค่าตอบเเทนเเรงงานคน ที่จะดีดตัวเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทปรับไลน์การผลิตที่แก้ปัญหาเรื่องต้นทุนค่าขนส่ง ด้วยการย้ายไลน์ผลิตถ้วยกระดาษมาไว้ท้ายไลน์การผลิตสินค้าในเเต่ละโรงงาน เเละเพิ่มกำลังการผลิตของเครื่องจักรขึ้น ในอดีตที่อยู่ระดับ 150 ก้อนต่อนาที ปัจจุบันอยู่ที่ 350-450 ก้อนต่อนาที ผลิตได้มากขึ้นเเต่ใช้แรงงานคนน้อยกว่าเดิมสามเท่า

ด้านประเด็นค่าเเรง คุณพันธ์เผยว่า ค่าจ้างมีการปรับขึ้นตลอดอยู่เเล้ว แต่อาจไม่ได้เพิ่มเเบบกระชากตัวเท่าค่าครองชีพ  ซึ่งการจะใช้นโยบายขึ้นค่าแรงครั้งหนึ่งรัฐเเละภาคเอกชนต้องหาทางออกร่วมกันในทุกๆประเด็น

ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

นอกจากนั้น  คุณพันธ์ยังได้ตอบคำถามประเด็นการขึ้นราคาว่า  ที่ผ่านมาในการปรับราคาของบริษัท เนื่องมาจากปัญหาวัตถุดิบหลักอย่างน้ำมันปาล์มเเละมันสำปะหลังพุ่งสูง จนผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับไหว ต้องประกาศขอขึ้นราคา เเต่เนื่องจากบะหมี่กึ่งฯ เป็นสินค้าควบคุม บริษัทต่างก็พยายามตรึงราคาไว้ให้นานที่สุด และในเร็ว ๆ นี้ จะมีการปรับขึ้นราคาหรือไม่นั้น บริษัทมองว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็น โดยจะพยายามชะลอการขึ้นราคาอย่างถึงที่สุดเหมือนที่ทำตลอดมา

ทั้งนี้ ผลประกอบการปี 2566 นี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 โต 5–7% หวังเห็นยอดขายกลับไปที่ 30,000 ล้านบาทได้ภายในปี 2570

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer