Gaga อยู่ในมือไมเนอร์มาเกือบปีจะก้าวต่อไปอย่างไร (วิเคราะห์)

ไมเนอร์ฯ Joint Venture  กาก้า ไม่ได้ต้องการเปลี่ยน Identity Brand แต่เข้ามาเพื่อเพิ่มสเกล การตลาด และผลักดันกาก้าให้เป็นแบรนด์เบอร์หนึ่งในไทย

อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท กาก้า เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในวันที่ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล เข้ามาถือหุ้นบริษัท กาก้า เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัดส่วน 50.1% ในธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา

ก่อนหน้าที่ไมเนอร์เข้าลงทุนในกาก้า แบรนด์กาก้ามีสาขาทั้งสิ้น 29 สาขา เป็นสาขาที่อยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ปัจจุบันมี 37 สาขา และคาดการณ์ว่าสิ้นปีจบที่ 41 สาขา เป็นสาขาในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

พร้อมรายได้เฉลี่ยต่อสาขาต่อเดือน 3-4 แสนบาท จากลูกค้าที่ซื้อเฉลี่ยออเดอร์ละ 200 บาท

มีสัดส่วนยอดขายจากชานม 60%

ชาไทย 10%

ชาเขียว 10%

และอื่น ๆ 20%

โดยสาขาที่ขายดีที่สุด ได้แก่ เซ็นทรัลลาดพร้าว และเซ็นทรัลเวิลด์

การเข้ามาลงทุนในกาก้าและในโอกาสที่กาก้าครบรอบ 5 ปีในประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2566

อนุพนธ์วางกลยุทธ์การเติบโตของกาก้าในสิ้นปีนี้ที่ 200 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีที่ผ่านมา

การเติบโตนี้มาจากยอดจำหน่ายในสาขาเดิม (Same Store) เพิ่มขึ้น 10% และเติบโตจากการขยายสาขาใหม่ ๆ

เพราะอนุพนธ์ คาดหวังว่าในอีก 5 ปีต่อจากนี้ แบรนด์กาก้าจะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดชานม พร้อมการเติบโต 2 ดิจิตเมื่อเทียบกับรายได้สิ้นปี 2566

กลยุทธ์ที่อนุพนธ์วางเพื่อพาแบรนด์กาก้าเติบโตจึงประกอบด้วย

1. ขยายสาขาต่อเนื่องทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมกับพากาก้าไปตลาดต่างประเทศ

ในปี 2567 กาก้าวางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 20 สาขา เป็นสาขาที่ลงทุนเองทั้งหมด ผ่านงบลงทุนสาขาละประมาณ 2 ล้านบาท

แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ 10 แห่ง และต่างจังหวัด 10 แห่ง ในหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น

การเลือกหัวเมืองใหญ่ในการบุกตลาดต่างจังหวัดส่วนหนึ่งมาจากแบรนด์ชานมอื่น ๆ มีการขยายสาขาไปยังหัวเมืองต่างจังหวัด

และในตลาดต่างจังหวัดมีการแข่งขันสูง จากแบรนด์ชานมที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่น

ประกอบกับลูกค้าต่างจังหวัดจะมีการถามข้อมูลเกี่ยวกับเมนูต่าง ๆ ของกาก้ามากกว่าในกรุงเทพฯ จากการตั้งชื่อเมนูที่สื่อถึง Attitude ต่าง ๆ แทนการตั้งชื่อเมนูที่อ่านแล้วบ่งบอกรสชาติในเครื่องดื่ม ๆ นั้น ๆ ได้ในทันที ทำให้ต้องใช้เวลาในการอธิบายรสชาติของเมนูเครื่องดื่มมากกว่าในกรุงเทพฯ

การบุกสาขาต่างจังหวัดของกาก้ามาจากการมองเห็นโอกาสขยายการเติบโต หลังเข้าไปทดลองตลาดต่างจังหวัดผ่านการเปิดสาขาที่พัทยาและระยอง ซึ่งเป็นสองสาขาแรกในต่างจังหวัด และได้รับการตอบรับอย่างดี

เหตุผลที่เลือกพัทยาและระยองเป็นสองสาขาแรกในต่างจังหวัด มาจากกาก้าต้องการขยายฐานลูกค้าไปยังชาวต่างชาติ จากปัจจุบันลูกค้าหลักเป็นคนไทย 100%  และพัทยาเป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์ด้านลูกค้าต่างชาติได้เป็นอย่างดี ส่วนระยองเป็นจังหวัดที่เมืองใหญ่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่มี GDP ในจังหวัดสูง

ในช่วงแรกของแผนงาน 5 ปีด้านการขยายสาขาจะเปิดสาขาปีละ 20 สาขาก่อน และเพิ่มเป็น 25 สาขา ในปีหลัง ๆ เมื่อกาก้ามีความพร้อมที่มากกว่านี้

เพราะหลังจากที่ไมเนอร์ฯ Joint Venture ในกาก้า มีการเข้าไปสร้างความแข็งแรงด้านระบบ Supply ระบบไอที POS ระบบโอเปอเรชันหน้าร้านสร้างมาตรฐานการให้บริการหน้าร้าน ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลาในการสร้างเพื่อให้ทุกอย่างมีความแข็งแรงพร้อมที่จะขยายสาขาที่มากขึ้นในอนาคต

ไปพร้อม ๆ กับการวางแผนที่จะพากาก้าไปยังต่างประเทศ จากการมองเห็นโอกาสของชานมในประเทศต่าง ๆ โดยประเทศจีน ออสเตรเลีย และสิงคโปร์อาจเป็นประเทศแรก ๆ ที่กาก้าจะบุกตลาดเนื่องจากไมเนอร์ฯ มีสำนักงานอยู่ในประเทศนั้น ๆ

2. รักษาจุดเด่นด้านแบรนดิ้ง พร้อม Collab กับแบรนด์ต่าง ๆ ขยายฐานลูกค้า

สิ่งที่ไมเนอร์มองว่าเป็นจุดแข็งอีกหนึ่งจุดของกาก้า คือ แบรนดิ้ง และ Identity ของแบรนด์จากการสร้างแบรนด์และภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ความเฟียส ใช้สีสัน ดำ แดง ขาว ที่มีดีไซน์โดดเด่นต่างจากแบรนด์ชานมไข่มุกอื่น ๆ และใช้วัตถุดิบดี โดยไม่ได้แข่งขันด้านราคาเป็นหลัก

พร้อมกับการสร้างแบรนด์ผ่าน Collab ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังลูกค้าของอีกแบรนด์ จากเดิมลูกค้าหลักของกาก้าจะเป็นกลุ่มนักศึกษา วัยเริ่มทำงาน และเป็นผู้หญิงสัดส่วน 80% เป็นหลัก

เช่นในอดีตก่อนที่ไมเนอร์จะเข้ามาร่วมทุน กาก้าเคย Collab กับแบรนด์ไอศกรีม Molto นำเครื่องดื่มกาก้า เช่น ชานมโอเวอร์โหลด ชาไทย กรีนที มาทำเป็นไอศกรีม

การจับมือกับ Oatside แบรนด์นมโอ๊ตจากประเทศสิงคโปร์ ออกเมนูเครื่องดื่มสำหรับสายรักสุขภาพ

ล่าสุด Gaga Collab กับแบรนด์บอนชอน แบรนด์ในเครือของไมเนอร์ทำเมนูชานมในแก้วน้ำสเตนเลส เป็นต้น

และในปีหน้ากาก้ามีแผน Collab กับแบรนด์ต่าง ๆ 4 ครั้งด้วยกัน

พร้อมกับการสร้างกิมมิกการตลาดอื่น ๆ เช่น ในช่วงเวลาครบรอบ 5 ปี แบรนด์กาก้า ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ออกแคมเปญเครื่องดื่มกาก้าโอเวอร์โหลดไซซ์ XL ทรงสูง ออกมาจำหน่ายเฉพาะช่วงเวลา เป็นต้น

อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดชานมไข่มุกในปัจจุบัน อนุพนธ์มองว่าเป็นตลาดที่ยังเรดโอเชียน ที่ในยุคนี้แข่งขันกันเรื่องอินโนเวชันของเครื่องดื่มและทอปปิ้ง เพื่อเจาะ Persona ของลูกค้าที่แตกต่างกันไปเพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง

ทำให้ตลาดชานมไข่มุกในยุคปัจจุบันเป็นยุคชานมระดับพรีเมียม แตกต่างจากยุค 10 ปีก่อน ที่แข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก

ซึ่งการที่ไมเนอร์ Joint Venture กับกาก้า มาจากการเห็น Potential ของแบรนด์ ที่สามารถสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับไมเนอร์ในตลาดเซกเมนต์เครื่องดื่มได้

และในปีที่ผ่านมาจากข้อมูลของ Momentum Works พบว่าตลาดชานมไข่มุกในไทยมีมูลค่ามากถึง 26,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer